เพราะความฝันเปลี่ยนแปลงบ่อย ครอบครัวเลยต้องคอยสนับสนุน คุยกับ ครู 'ไนซ์' - กะวิตา พุฒแดง แห่งบ้านกางใจ - Jamsai Kids Store | ร้านหนังสือออนไลน์ คลังนิยายแจ่มใส

ตะกร้าสินค้า

empty-cart-img

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

เลือกซื้อสินค้า
โปรโมชั่นส่วนลด และพรีเมี่ยมจะแสดงในหน้าตะกร้าสินค้าของฉัน

ราคาสินค้า:

0.00 บาท

เพราะความฝันเปลี่ยนแปลงบ่อย ครอบครัวเลยต้องคอยสนับสนุน คุยกับ ครู 'ไนซ์' - กะวิตา พุฒแดง แห่งบ้านกางใจ

Share:   

 

"เราเปลี่ยนความฝันบ่อยมากๆ บางวันอยากเป็นแอร์โฮสเตส บางวันอยากเป็นนักขุดซากไดโนเสาร์ บางวันอยากเป็นคลีโอพัตรา อยากเป็นผอ.แบบพ่อ อยากทำงานโรงแรมได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเหมือนแม่" นี่คือคำบอกเล่าเรื่องความฝันในวัยเด็กของครูอนุบาลอย่าง 'ครูไนซ์' - กะวิตา พุฒแดง 

           "แต่เราไม่เคยมีความฝันอยากเป็นครูเลยนะ เพราะเราเคยมีประสบการณ์กับครูที่ไม่ค่อยใจดีเท่าไหร่" ครูไนซ์ยืนยัน แต่วันเวลาผ่านไป ความฝันเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในหัวใจลึกๆ ก็ปรากฏตัว ทีจริงแล้ว เธอเองก็อยากเป็นคุณครูเหมือนกัน 

           แจ่มใส คิดส์ นั่งลงแล้วฟังเรื่องเล่าของครูอนุบาลคนนี้ คนที่มีน้ำเสียงราวกับเด็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ยิ้มหวาน อยู่ใกล้แล้วรู้สึกได้ถึงความใจดี กับเรื่องความฝันในวัยเด็กที่เธอบอกกับเราว่า ดีใจที่ได้พบเจอ (อีกครั้ง)

 

ความฝันของฉัน เปลี่ยนแปลงบ่อยตามสิ่งแวดล้อมรอบตัว

          ครูไนซ์บอกว่า ตอนเด็กๆ เธอไม่ค่อยได้เข้าถึงนิทานสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ช่วยเปิดโลกแห่งจินตนาการและความฝันให้เธอในวัยเด็กได้นั้น กลับเป็นเรื่องเล่าจากคุณพ่อคุณแม่ เพราะทั้งคู่เป็นนักอ่านตัวยง   

           "ตอนเด็กๆ แม่ของเราชอบอ่านหนังสือต่วยตูน ก็มักจะย่อยเรื่องต่างๆ มาเล่าให้เราฟัง พ่อเองก็ชอบอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ ก็จะมีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย หรือบางทีก็เป็นประสบการณ์เดิมหรือใหม่ของพ่อแม่ แล้วเวลาเราบอกว่า เราอยากเป็นอะไร พ่อแม่ก็ไม่เคยบอกปัด แต่ชวนตั้งคำถามไปเรื่อยๆ เราว่าจินตนาการและความแฟนซีในตัวเรา มีรากฐานมาจากตรงนี้ รวมถึงความฝันที่หลากหลาย และบางทีความฝันก็คือสิ่งที่แค่อยากจะลองทำ"

           "เราเคยอยากเป็นผอ.โรงเรียนสายวิชาชีพแบบพ่อ เพราะอยากนั่งเก้าอี้ผอ. (หัวเราะ) อยากทำงานในโรงแรมเหมือนแม่ ที่ได้ดูแลแผนกต้อนรับและแผนกทำความสะอาด เราแค่อยากไปปูเตียง (หัวเราะ) ความฝันของเราช่างน่าสนใจและมีมาก จนอยากจะทำให้หมดทุกอย่างในเร็ววัน แถมยังเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เห็น แวดล้อมรอบตัว และตามวัย" 

ความฝันในวัยเยาว์ไม่ได้หล่นหาย แต่อาจจะมีขนาดเล็กจิ๋วและซ่อนไว้ลึกที่สุดในหัวใจ

           ระหว่างทางของการเติบโต ครูไนซ์เล่าว่า เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีความสุขที่สุดในโลก เมื่อเธออยู่ที่บ้าน เธอรู้สึกได้รับความรักอย่างเต็มที่ ตอนอนุบาลเจอครูใจดีที่สุดจนอยากจะเป็นครูบ้าง ในบางเวลา แต่ขึ้นวัยประถมและไปโรงเรียน กลับมีความรู้สึกว่า ไม่เป็นที่ยอมรับของคุณครู ความฝันที่นึกอยากเป็นครู จึงถูกโยนทิ้งลงไปในจุดที่ลึกที่สุดของหัวใจ

           "ตอนเด็กๆ ครอบครัว ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ เรารู้ว่า เราดีในสายตาของอาก๋ง เป็นเด็กดีของพ่อแม่ เป็นเด็กอ่อนหวานของป้า เรามีความสุขจังเลย แต่พอไปโรงเรียน เรากลับรู้สึกว่า ยังไม่ดีพอเสียทีในสายตาของคุณครู ครูคณิตศาสตร์บอกว่า เราโง่เขลา ครูภาษาไทยบอกว่า ลายมือไม่สวย เรารู้สึกว่า เราถูกต่อว่าอยู่เสมอๆ 

           "ตรงข้ามกัน พอเลิกเรียน เรากลับบ้านมา เราก็ยังเป็นไนซ์ที่มีความสุขคนเดิม เราเป็นเด็กดีเหมือนเดิม เรามีน้ำใจ ช่วยก๋งปิดไฟ ช่วยแม่ทิ้งขยะ เราแย่ตรงไหนนะ ระหว่างที่คิดแบบนั้น เราก็นึกแว้บขึ้นมาว่า หากวันหนึ่งมีโอกาสเป็นครู ฉันจะเป็นครูที่เข้าใจ และค่อยๆ ให้ความรู้และเปิดโอกาสให้เด็กเติบโตตามแบบฉบับของเขาเอง"

พ่อแม่คือฝ่ายซัพพอร์ต คอยเชียร์อัพทุกความฝัน ทำให้หัวใจเด็กน้อยกล้าแกร่ง

           แม้ความฝันวัยเด็กเปลี่ยนบ่อย แต่สิ่งที่ทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งรู้สึกมั่นใจว่าจะก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง คือ ครอบครัว ไนซ์ยืนยัน 

           "เรารู้สึกว่า เราโตมาในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้ทุกความฝันของเรามีความเป็นไปได้ อาก๋งของเราจะพยักหน้ารับเสมอเมื่อเราบอกว่า เราอยากเป็นอะไร พ่อกับแม่ก็เออออไปด้วยเสมอ แถมยังไม่เคยได้ยินคำพูดเนกาทีฟของคนในครอบครัว พอเราบอกว่า อยากเป็นแอร์โฮสเตสเหรอ ที่บ้านก็เชียร์อัพตลอด ทั้งๆ ที่ความสูงของเราไม่ได้(หัวเราะ) แม่เองก็อินไปกับเรา มานั่งคุยกันว่า จะเลือกสายการบินอะไร ใส่ชุดแบบไหนดี ไปประเทศไหนบ้าง แต่จะไม่มีคำพูดที่บอกว่า เป็นแอร์โฮสเตสจะต้องเก่งภาษาอังกฤษ ต้องสูง ต้องนั่นต้องนี่ คือต้องใส่ข้อมูลความเป็นจริงบวกกับความเป็นไป ซึ่งพ่อแม่และอาก๋งไม่ใช่แบบนั้นเลย   

           "สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากเลย ที่จะเป็นอะไรก็ได้ จำได้เลยว่า เคยอยากเป็นนางเอกซีรีส์ด้วยนะ ไม่ได้อยากเป็นเพราะเขาสวย แต่เพราะนางเอกได้ผจญภัยเยอะ แต่ด้วยความที่เราไม่มีเส้นแบ่งว่า อันไหนได้ อันไหนไม่ได้ ทำให้ Self-Esteem ของเราแข็งแรงมากเลย"

           ครูไนซ์เองได้รับพลังบวกมากพอเวลาอยู่บ้าน จนสามารถกลบความรู้สึกที่ไม่ดีตอนอยู่ที่โรงเรียนได้อย่างมิดชิด ไม่อย่างนั้นครูไนซ์ อาจจะไม่ไนซ์อย่างทุกวันนี้ก็ได้ 

           “พ่อแม่คือ คนที่สำคัญจริงๆ และยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเราด้วย นั่นทำให้ไม่ว่าเราที่ยังเล็กจะล้มกี่ครั้ง ก็ลุกขึ้นได้เสมอ เมื่อโตขึ้นเราก็ล้มเหมือนเดิม และก็ลุกขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง นั่นเป็นเพราะครอบครัวเชื่อมั่นในตัวเรา จนเราเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะลุกขึ้นมาเองได้”  

ต้นแบบครูใจดี มาจากครูพวงผกา ครูอนุบาลในวัยเยาว์

           เมื่อสิบปีที่แล้ว ครูไนซ์ก็ได้เป็น ‘ครูอนุบาล’ ครูที่สร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย และตั้งชื่อว่า บ้านกางใจ ที่เธอตั้งชื่อนี้เอง และคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ครูไนซ์อยากกลับมาเป็นครูอีกครั้ง ก็คือ ครูพวงผกา ครูอนุบาลที่แสนใจดี 

“หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเจอครูใจดีแบบครูพวงผกาอีกเลย" (หัวเราะ)

           เราถามถึงเหตุผลว่า ทำไมจู่ๆ ความฝันการเป็นครูอนุบาลจึงได้ออกมาโลดแล่นในความเป็นจริงในวันนี้ เธอตอบว่า เพราะอยากให้เด็กๆ มีหัวใจพองโตได้อย่างเต็มที่ แบบที่เธอเคยได้รับจากครูพวงผกา

           "เราอยากให้เด็กได้มีความสุขกับโลกก่อน เวลาเขาเจออะไรในวันข้างหน้า อย่างน้อยเขาจะมีหัวใจที่แข็งแกร่ง มีมือที่แข็งแรง และกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อไปได้อย่างมั่นใจ"

           ครูไนซ์บอกว่าอีกมุมหนึ่งก็เคยคิดเหมือนกันที่อยากเป็นจะเป็นครูมหาวิทยาลัย แต่ท้ายที่สุดแล้วภาพครูพวงผกาก็แจ่มชัดขึ้น และพบว่าคุณค่าที่ทำให้เป็นครูไนซ์ในวันนี้คือ มีรากฐานมาจากเด็กที่สดใสร่าเริง และมีครอบครัวคอยหนุนหลัง ทั้งยังรู้สึกเป็นที่รักของครูอนุบาล แต่พอขึ้นป.1 เป็นต้นไป ครูก็รักน้อยลงเพราะเรียนไม่เก่ง

           ไนซ์หัวเราะร่าเริงแล้วบอกว่า "ก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็ยังไนซ์ได้เสมอ"

 

ความฝันตอนเด็กนั้น ทำให้ฉันเป็นฉันในวันนี้  

           เพราะมีความฝันเป็นที่ตั้ง และได้ลองทำทุกๆ ความฝัน บวกกับครอบครัวสนับสนุน จึงทำให้ครูไนซ์กลัวน้อยลง และกล้าทำมากขึ้น เมื่อได้ลองทำหลายอย่าง ผ่านการฝึกงานสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นสิบแห่ง ทำให้ครูไนซ์สามารถตัดสิ่งที่ไม่ชอบออก เหลือสิ่งที่ใช้ได้ แล้วค่อยมาเลือกอีกทีว่า อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร จากนั้นก็วนกลับมาค้นหาความฝันที่ซ่อนไว้ลึกๆ อีกครั้ง ว่ามันยังคงอยู่มั้ย และทำได้หรือเปล่า จนกระทั่ง… 

           “เราเจอ” ครูไนซ์ตอบ “เรามองว่า คนเรามีหลายความฝันได้ ทั้งความฝันที่เป็นอาชีพ หรือ ความฝันที่เป็นงานอดิเรก ความฝันเหล่านี้จะช่วยหล่อเลี้ยงให้เราเติบโตต่อไปได้ ในขณะที่ความฝันที่ลองทำแล้ว ทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘พังทลาย’ 

           เราถามครูไนซ์ว่า เคยคุยกับตัวเองมั้ยว่า วันนี้ทำได้แล้ว

           “เคยค่ะ” ไนซ์ตอบอย่างร่าเริง แล้วเล่าต่อว่า ตอนเป็นครูเมื่อห้าหกปีที่แล้ว เราเป็นครูอนุบาลตามภาพฝันเป๊ะเลย เป็นเหมือนครูโคบายาชิ จากเรื่องโต๊ะโตจัง เหมือนครูจากหนังสือเรื่องอินเดียใต้ต้นไม้ พอนำมารวมกันแล้ว ความฝันก็กลายเป็นรูปร่าง ส่วนช่วงห้าปีหลัง ครูไนซ์ยอมรับว่า ได้ทำตามความฝันน้อยลงไปบ้าง เพราะความจริงยังมีหลายสิ่งให้บริหาร จัดการและแก้ไขอยู่เสมอ ถึงอย่างนั้น ความฝันก็เป็นจริงแล้วในวันนี้

           “สำหรับเรา ความฝันและจินตนาการคือ ห้องฝึกวิชาความเป็นไปได้ ที่มีบันไดทำให้เห็นความฝันนั้นชัดเจนขึ้น”

 

เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ : ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล