อ่านโลกไปพร้อมลูก แบบฉบับ ‘โสภณ ศุภมั่งมี’ บรรณาธิการแห่ง aomMONEY - Jamsai Kids Store | ร้านหนังสือออนไลน์ คลังนิยายแจ่มใส

ตะกร้าสินค้า

empty-cart-img

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

เลือกซื้อสินค้า
โปรโมชั่นส่วนลด และพรีเมี่ยมจะแสดงในหน้าตะกร้าสินค้าของฉัน

ราคาสินค้า:

0.00 บาท

อ่านโลกไปพร้อมลูก แบบฉบับ ‘โสภณ ศุภมั่งมี’ บรรณาธิการแห่ง aomMONEY

Share:   

“ตอนเด็กๆ เตี่ยชอบพาผมไปร้านหนังสือ แต่เตี่ยเองก็ไม่ได้เป็นนักอ่านขนาดนั้น”

“เตี่ยบอกว่า เพราะผมชอบอ่าน เตี่ยจึงพาไป และนั่นทำให้ผมรักการอ่านเรื่อยมา ตอนนั้นสำหรับผมแล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาดีๆ ระหว่างผมกับเตี่ย จึงอยากส่งต่อสิ่งดีๆ แบบนี้ให้กับลูกสาวด้วย”

เรียกว่า โลกแห่งการอ่านสำหรับคุณโสภณ ศุภมั่งมี บรรณาธิการแห่ง aomMONEY เว็บการเงินชื่อดัง เริ่มต้นจากคุณพ่อนี่เอง และเมื่อวันหนึ่งที่เขาทำหน้าที่เป็นคุณพ่อบ้าง เจ้าตัวจึงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เขาสอนลูกสาวให้เติบโตมาในโลกแห่งการอ่านเช่นกัน

แจ่มใส คิดส์ ชวนอ่านเรื่องราวความประทับใจ และแง่งามของการอ่านนิทานให้ลูกฟังในแบบฉบับของคุณพ่อนักเขียนนักอ่าน ผู้ที่เชื่อว่า คุณพ่อทุกคนสามารถอ่านนิทานให้ลูกฟังได้ และสนุกด้วย แถมยังดีต่อใจพ่อลูก เพราะต่างฝ่ายก็ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน เกิดเป็นความทรงจำที่มีค่ามีความหมายต่อลูกและพ่อแม่ได้ในระยะยาว

อ่าน อ่าน และอ่าน เริ่มต้นได้ ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องของคุณแม่

จุดเริ่มต้นการอ่านนิทานของคุณพ่อลูกหนึ่งอย่างคุณโสภณ เล่าให้เราฟังว่า เขาอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังไม่คลอด

“ผมไม่รู้ว่า จริงหรือไม่จริง ว่าเด็กอยู่ในท้องก็ได้ยินเสียงแล้ว แต่เราเลือกที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง หรือหยิบเพลงมาเปิดให้เขาฟัง ลูกจึงได้ฟังนิทานตั้งแต่ยังไม่เกิด และพอเกิดมาแล้วก็อ่านให้เขาฟังทุกคืนไม่เคยขาด ขนาดไปเที่ยว เรายังพกนิทาน พกการ์ตูนไปด้วย เพื่อที่จะได้อ่านก่อนนอน เพราะสำหรับผม การอ่านนิทานให้ลูกฟัง เป็นเรื่องที่สนุก” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกได้ดีว่า สนุกจริง ไม่อิงแค่หน้าที่การอ่าน

“ส่วนใหญ่แล้ว ผมจะเป็นคนอ่านนิทานให้ลูกฟัง อย่างน้อยวันละ 15 - 30 นาทีก่อนนอน บางคืนลูกอยากอ่านมากหน่อยก็อ่านหลายเล่ม แล้วแต่วัน แต่ก็มีบางครั้งที่ผมติดงาน หรือถ้าคุณแม่ของลูก เจอหนังสือที่ชอบแล้วอยากอ่านให้ลูกฟัง ก็จะมาเป็นคนอ่าน อย่างผม ชอบนิทานเรื่อง จอมโจรขนมปัง มันทะเล้นดี บ้านต้นไม้ร้อยชั้น บ้านเล็กในป่าใหญ่ ก็จะขอจองเป็นคนอ่านเล่มนี้ให้ลูกฟังตลอด”

 

เมื่อแจ่มใสคิดส์ถามว่า แรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้คุณพ่อคนนี้ชอบอ่านนิทานให้ลูกฟัง เขาตอบว่า

“เพราะผมชอบอ่าน ตอนเด็กๆ เตี่ยของผมก็ชอบพาไปร้านหนังสือ แต่เตี่ยไม่ได้เป็นขนาดคนชอบอ่าน หรือที่เราเรียกว่าสิงห์นักอ่าน เตี่ยเคยบอกว่า เพราะผมชอบอ่าน เตี่ยจึงชอบพาไปร้านหนังสือ และมันก็ทำให้ผมรักการอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่าตอนนั้น เป็นช่วงเวลาดีๆ ระหว่างผมกับเตี่ย ผมจึงอยากส่งต่อความรู้สึกดีๆ แบบนี้ให้กับลูกสาวด้วย”

ด้วยความอยากรู้ เราถามว่า ลูกสาวเคยงอแงไม่อยากให้คุณพ่ออ่านนิทานให้ฟังบ้างหรือเปล่า

คุณพ่อคนนี้ตอบชัดเจนว่า “ไม่มีเลย อาจเป็นเพราะเราสลับกันเลือกหนังสือ เช่น วันนี้ปะป๊าอยากอ่านเล่มนี้ อีกวันลูกก็เป็นคนไปเลือกมา ให้เขาได้เลือกนิทานที่ตัวเองอยากอ่าน อันนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ในช่วงแรกๆ เราก็อ่านช้าๆ ใช้นิ้ว ชี้ไปที่คำศัพท์แต่ละตัวเวลาอ่าน เขาก็จะจำได้ แต่ไม่ได้สะกดได้นะ แต่จะจำเป็นคำ และประโยคตามมา เราเองก็ต้องตั้งใจฟังลูกด้วย ผมมองว่า ตรงนี้ล่ะที่ทำให้เขาไม่เบื่อที่จะฟังนิทานหรืออ่านนิทานเลย แล้วพอถึงวัยที่ลูกเริ่มอ่านได้สักประมาณห้าขวบ พอเขาเริ่มสื่อสารได้ สะกดและออกเสียงได้ เราก็จะสลับกันอ่านคนละหน้ากับลูก”

คุณพ่อนักอ่าน คุณลูกนักฟัง (และว่าที่นักอ่านคนใหม่)

“ร้านหนังสือคือที่ที่สองพ่อลูกไปเป็นประจำ” เขาส่งภาพที่ลูกสาววัยก่อนเข้าอนุบาลยืนดูนิทานในร้านหนังสือ ภาพที่ลูกสาวนั่งตักดูนิทาน และภาพลูกสาวที่โตขึ้นมาอีกนิดนั่งข้างๆ กำลังเลือกนิทานอยู่แถวชั้นหนังสือเด็ก

“หมดตัวทุกครั้งสำหรับหนังสือของลูก” เสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่ยืนยันความจริงได้ดี

คุณพ่อนักเขียนบอกว่า ตอนเด็กๆ ลูกจะเริ่มเลือกหนังสือจากภาพสวยๆ ก่อน แม้ลูกจะอ่านเองได้ไม่คล่อง แต่ภาพสวยๆ เชิญชวนให้ลูกอยากหยิบให้พ่ออ่านให้ฟัง เมื่อลูกเติบโตขึ้นสู่วัยอนุบาลต้นปลาย สู่ประถมต้น ลูกเริ่มอ่านเองได้ ก็จะเลือกหนังสือจากการเปิดอ่านไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจซื้อ

“ตอนนี้ลูกป.3 แล้วอายุ 8 ขวบ เริ่มมีความสนใจหนังสือที่หลากหลายมากขึ้น เราก็จะเห็นว่า ลูกจะเริ่มอ่านการ์ตูนมังงะ โดราเอม่อน หรือวรรณกรรมเยาวชน อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ลูกก็จะเริ่มหยิบหนังสือไปนั่งอ่านเองคนเดียว แต่ก็มีบางครั้งที่ลูกอยากให้เราอ่านให้ฟังเหมือนเดิม ซึ่งผมกลับมานั่งคิดว่า ดีจังเลยที่ได้ใช้เวลาดีๆ กับเขาเมื่อตอนยังเล็ก ส่วนตอนนี้เราต้องเริ่มเป็นฝ่ายชวนอ่านนิทานกับลูกแล้ว เหมือนว่าเราต้องมาง้อลูก” (หัวเราะ)

อ่านนิทานสไตล์คุณพ่อ เน้นสนุก เพื่อเอนเตอร์เทนลูก

สำหรับคุณพ่อนักเขียนเล่าถึงสไตล์การอ่านนิทานให้ลูกฟังว่า “เวลาผมอ่านนิทาน จะอ่านตามตัวละคร อย่าง ตัวร้ายก็ทำเสียงเข้มๆ นางเอกก็เสียงเล็กๆ หวานๆ ก็มีนะ หรือเป็นตัวการ์ตูนก็จะออกแนวงิ้งง้องๆ (หัวเราะ) ทำเสียงประหลาดๆ เพื่อเอนเตอร์เทนลูก ลูกสนุก เราก็มีความสุข”

ถึงอย่างนั้น ก็มีคุณพ่ออีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มั่นใจการอ่านนิทานให้ลูกฟัง คุณพ่อคนนี้เลยบอกว่า “ทุกคนอ่านได้นะ คุณพ่อควรจะทิ้งสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วไปอยู่ในโลกนิทานของลูกให้มากขึ้น ผมรู้สึกว่า พอเราเป็นผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกเกร็งไปซะทุกอย่าง หรืออาจเกิดความรู้สึกว่า อ่านนิทานแล้วดูเด็กจังเลย

“แต่ความรู้สึกของความเป็นเด็กมันสำคัญมากๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ ยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น โลกของเราจะมีกรอบ มีสิ่งที่สังคมคาดหวังกับเรา ทำให้เรารู้สึกต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่เราลืมคือ จินตนาการและความสุขในการที่จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นตัวละครตัวไหนก็ได้ในหนังสือ ซึ่งเรื่องนี้มันหายไป” - และแน่นอนสามารถนำกลับมาใหม่ได้อีกครั้ง เมื่อกางนิทานอ่านให้ลูกฟัง (หรือลองอ่านนิทานภาพของลูกสัก 1 เล่ม ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที)

“การอ่านนิทานให้ลูกฟัง เหมือนเป็นการปลอดล็อคอย่างหนึ่ง พ่อแม่บางคนอาจจะรู้สึกเขินที่เล่นเป็นตัวละครต่างๆ ในหนังสือ แต่ผมเชื่อว่า นั่นเป็นช่วงเวลาที่ลูกมีความสุข ทุกครั้งที่เราทำเสียงสนุกๆ ทำท่าทางตลกๆ เราเห็นประกายลุกวาวในแววตาของลูก และสิ่งนี้ต่างหาก ที่เราอยากให้เกิดขึ้นตอนอ่านนิทานด้วยกัน

“หากนึกไม่ออก ให้คิดถึงการร้องเพลงตอนอาบน้ำ การอ่านก็เหมือนกัน อ่านโดยไม่ต้องอะไรอ่านแล้วก็ปล่อยให้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด หรือนึกถึงว่า ถ้าฉันเป็นเด็กห้าขวบ ฉันจะอ่านเรื่องนี้ยังไง แค่นั้นเลย มันจะได้สนุกไปกับลูก ไม่ต้องคิดว่า เราคือพ่อของลูก แต่เราคือเพื่อนคนหนึ่งของลูก ชี้ชวนให้ลูกดูตัวละครต่างๆ ในนิทานไปด้วยกัน ก็จะทำให้เรื่องราวสนุกมากขึ้น และพ่อเองก็จะได้ไม่เกร็ง”

ยืนยันว่า การอ่านนิทาน คือช่วงเวลาดีมีคุณภาพ สร้างความทรงจำที่ดี และมีความสุข เป็นผลลัพธ์ที่ดีต่อใจทั้งพ่อลูก (และแม่ของลูกด้วย)

“ผมรู้สึกว่า ไม่อยากให้รู้สึกว่าการอ่านนิทานเป็นงาน หลายคนอาจจะมองว่า นี่เป็นเรื่องที่ฉันต้องทำ ผมอยากให้ลองเปลี่ยน mindset ตรงนั้น จากคำว่า ‘ฉันต้องทำ’ เป็น ‘ฉันมีโอกาสได้ทำ’ ได้ทำให้พ่อแม่ลูกใกล้ชิดกันมากขึ้น ได้สร้างความทรงจำที่มีค่าร่วมกัน เป็นช่วงเวลาที่ดีกับลูก อีกไม่กี่ปีเท่านั้น อีกหน่อยลูกก็จะไม่อ่านหนังสือกับเราแล้ว

“หนังสืออาจเป็นแค่กิจกรรม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูก และคนข้างๆ (แม่ของลูก) ผมไม่ได้บอกว่า การอ่านหนังสือคือ ยาวิเศษ ที่จะช่วยให้ทุกอย่างในชีวิตดีขึ้นขนาดนั้น แต่ว่าการได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกันต่างหากคือ เป้าหมาย อาจไม่ต้องอ่านนิทานก็ได้ แต่ใช้เวลาสักชั่วโมง วาดรูปไปกับลูก เขียนไดอารี่กับลูก เล่าเรื่องต่างๆ นั่งคุยกัน แต่งนิทานขึ้นมาเองก็ได้ หรือกิจกรรมอะไรก็ได้ ที่ได้ใช้เวลาร่วมกับลูก แล้วตัดความฟุ้งซ่านวุ่นวายในชีวิตออกไปให้หมด โฟกัสแค่ลูก เพียงหนึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว และบังเอิญว่า สำหรับผมคือ การอ่านหนังสือ” (ให้ลูกฟังและอ่านกับลูก)

คุณโสภณยังบอกด้วยว่าในทุกๆ ปี คุณพ่อและลูกสาวจะช่วยกันคัดเลือกหนังสือที่เคยอ่าน เพื่อนำไปส่งต่อให้เด็กรุ่นใหม่คนอื่นๆ ต่อไป เหมือนเป็นการมอบสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่านนิทาน ผ่านนิทานเรื่องเดียวกันนั้นให้ครอบครัวอื่นได้มีช่วงเวลาคุณภาพเช่นเดียวกัน

เรื่อง ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล

เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์