กาลครั้งหนึ่งนั้น ฉันฝันว่า... อยากเป็นตลก แต่สุดท้ายได้เป็น ‘คุณแม่’ ฉบับ ‘นิดนก’ - พนิตชนก ดำเนินธรรม นักเขียนและเจ้าของร้านตราเด็กส่งกระต่าย - Jamsai Kids Store | ร้านหนังสือออนไลน์ คลังนิยายแจ่มใส

ตะกร้าสินค้า

empty-cart-img

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

เลือกซื้อสินค้า
โปรโมชั่นส่วนลด และพรีเมี่ยมจะแสดงในหน้าตะกร้าสินค้าของฉัน

ราคาสินค้า:

0.00 บาท

กาลครั้งหนึ่งนั้น ฉันฝันว่า... อยากเป็นตลก แต่สุดท้ายได้เป็น ‘คุณแม่’ ฉบับ ‘นิดนก’ - พนิตชนก ดำเนินธรรม นักเขียนและเจ้าของร้านตราเด็กส่งกระต่าย

Share:   


“จำได้ว่า ประมาณป.3 คุณครูถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เราตอบว่า อยากเป็นตลก!” จะว่าไป ความฝันแรกเริ่มของเด็กหญิง ‘นิดนก’ - พนิตชนก ดำเนินธรรม ฟังไปฟังมาก็มีความคล้ายคลึงกับนิดนกในปัจจุบัน ที่กลายเป็นผู้หญิงที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า และมีสไตล์การเล่าเรื่องที่สอดแทรกไปด้วยความสนุกสนานเฮฮาเสมอ

“ตอนนั้นชอบดูชิงร้อยชิงล้าน ดูแล้วเรารู้สึกว่า ตลกจังเลย ก็เลยอยากเป็นมั่ง” นิดนกบอกกับเราด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะเล่าความฝันให้ฟังต่อว่า พอเรียนจบมอปลาย เราบอกแม่และคุณครูว่า อยากเป็นครูสอนภาษาไทย อยากให้ทุกคนได้เห็นคุณค่าและความสวยงามของภาษาไทยเหมือนที่เราชอบ สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นครู แต่เป็นนักเขียน ทำงานด้านการส่งเสริมการอ่าน และแต่งงาน มีลูก อย่างที่เคยเขียนเป้าหมายไว้บนกระดานตอนสมัครงาน (หัวเราะ)

ต้องบอกว่า เด็กหญิงนิดนกในวันนั้น ได้เลือกทำตามสิ่งที่เธอชอบ อยากทำ และเลือกด้วยตัวเอง จนในวันนี้ เธอก็ได้เข้าสู่วงการนักเขียน และวงการคุณแม่ลูกหนึ่ง ถือเป็นหนึ่งในความฝันที่เธอทำได้แล้ว

และนี่คือการพูดคุยแบบสนุกสนาน ระหว่าง แจ่มใส คิดส์ กับคุณแม่นิดนก ที่มีแกนเรื่องคือความฝันวัยเด็ก ที่เชื่อมโยงกับความฝันของการเป็นเด็กในสไตล์สบายๆ - “แต่เจ้มจ้น” นิดนกบอก! และเรา ก็เห็นด้วย!

 

ย้อนเวลากลับไปตอนที่นิดนกยังเป็นเด็กประถม จำได้มั้ยตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่

“ตอนเด็กๆ เราโตมากับหนังสือ คุณแม่เป็นบรรณารักษ์ เราโตมาในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือ เราไม่ได้อ่านแค่นิทาน แต่อ่านหนังสือที่อยู่ในห้องสมุด และเราก็มีห้องสมุดเป็น comfort zone เป็นพื้นที่ที่เรามีความสุขมาก เอาจริง เราไม่ค่อยได้เป็นผู้อ่าน แต่เป็นผู้เล่า แล้วรับบทเป็นนางแสดง (หัวเราะ) คือในทุกๆ ตอนเที่ยง จะมีกิจกรรมอาสาเล่านิทาน เราเลยไปเล่าให้น้องๆ และเพื่อนๆ ฟัง

“ตอนป.1-ป.2 เมื่อเล่านิทานแล้วอยากเขียนนิทานเอง เราเริ่มประกวดเล่านิทานที่แต่งเองทั้งแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม เรื่องราวที่เขียนก็เกิดจากการสะสมจากเรื่องที่อ่าน บวกกับคุณแม่ก็ชอบอ่านนิทาน เล่านิทาน และยังทำสื่อประกอบการเล่านิทานด้วย เช่น หัวสัตว์ ตัวละครต่างๆ ในนิทาน เราก็เลยคลุกคลีกับสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็กๆ

“พอช่วง ป.4- ป.5 เราจะไปเน้นทางการพูดแบบเดี่ยว ไม่ใช่เรื่องแนวจินตนาการเหมือนตอนประถมต้น แต่จะเป็นการเรียบเรียงเรื่องจริงที่เราอยากเล่าให้ฟัง เราก็จะหาวิธีเรียบเรียงให้น่าสนใจ เราคิดว่าตรงนี้ล่ะ ที่ทำให้เราเป็นคนชอบเล่าเรื่อง เป็นคนกล้าแสดงออก” (ทั้งตอนนั้นและตอนนี้)   

 

ดูเหมือนว่า นิดนกทั้งชอบ และยังคงสนุกกับสิ่งที่ได้ทำตอนเด็กๆ มากเลย ช่วงมัธยม ยังคงทำแบบเดิมอยู่มั้ย

“เราเป็นมาตลอด (หัวเราะ) จากการเล่าเรื่อง สู่การเป็นพิธีกร เป็นไฮด์ปาร์คหาเสียงเลือกประธานนักเรียน เราคิดว่าทุกๆ สเตปของชีวิตก็จะเป็นนักเล่าเรื่อง อีกอย่าง เรามองว่า การอ่านนิทานตอนเด็กๆ หรือหนังสือที่เราได้อ่านมาโดยตลอด มันคือต้นทุนในแง่ของการใช้ภาษาและการเล่าเรื่องในแบบของเราด้วยนะ”

 

หรือว่า สิ่งนี้คือความฝันที่นิดนกอยากไปต่อเมื่อเติบโต

“อืม... จำได้ว่า ประมาณป.3 คุณครูถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เราตอบว่า อยากเป็นตลก เพราะว่าตอนนั้นชอบดูชิงร้อยชิงล้าน ดูแล้วเรารู้สึกว่าตลกจังเลย ก็เลยอยากเป็นมั่ง เรารู้สึกว่า มันดูไม่ค่อยเกี่ยว แต่มันก็ทำให้เราเขียนอะไรตลกๆ ออกมาได้ เหมือนกับว่า เรารู้จักตัวเองว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ชอบความสนุกสนาน

“ถ้าถามว่า ฝันว่าอยากเป็นนักเขียนมั้ย ไม่เลย แต่เรากลับแต่งนิทาน แต่งเรื่อง มาตั้งแต่ยังตอนประถม พอมามัธยมก็เขียน ฟิกชั่น ทำแฟนฟิกซ์ (fan fiction) เขียน blog ลงพันทิป เวลาดูละครก็แต่งต่อเอง เพราะดูแล้วยังไม่ฟิน ยังไม่แล้วใจ! แต่ก็ไม่ได้บอกใครนะ ว่าเป็นเราที่เขียน” (หัวเราะ)

 

แล้วความฝันที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเด็กหญิงนิดนกจริงๆ ล่ะ มีมั้ย หากไม่ใช่นักเขียน หรือนักเล่าเรื่อง

“เราเคยบอกแม่ว่า อยากเป็นครู ตอนเรียนจบม.ปลาย เราเคยบอกครูว่า อยากเป็นครูสอนภาษาไทย อยากให้เด็กๆ รักภาษาไทยอย่างที่เราชอบ เรารู้สึกว่า หลายๆ คนเมื่อเรียนวิชาภาษาไทยแล้วรู้สึกว่ายาก แต่เราชอบวิชานี้ มันดีต่อเรามากๆ เลย เราเลยอยากให้ทุกคนชอบวิชาภาษาไทยเหมือนเรา”

 

เมื่อเดินตามความฝันแบบตรงๆ ไม่ได้ นิดนกทำยังไง

“อ้อมๆ เลี้ยวๆ – แม้เราจะไม่ได้เข้าใกล้ความครูสอนภาษาไทย หากมองในอีกมุม เราไม่เคยอยู่ห่างจากความฝันของเราเลย แค่ว่า เราอาจจะอ้อมๆ เลี้ยวๆ ไปเห็นสิ่งต่างๆ ระหว่างทาง และสุดท้ายเรามองเห็นคุณค่าของมันไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นด้วย ในรูปแบบอื่นๆ อย่าง การเป็นนักเขียน การเปิดร้านหนังสือ และทำงานด้านการส่งเสริมการอ่าน ชวนคนมาอ่านหนังสือ และสนับสนุนให้ผู้คนได้เห็นคุณค่าของภาษาไทย ความสวยงามของภาษา และการใช้ภาษาไทยในงานเขียนด้วย”

 

มีคนบอกว่า ความฝันของเด็กเป็นเรื่องฟุ้งๆ ไม่จริงหรอก นิดนกมองว่ายังไงในฐานะคุณแม่

“เราต้องฟังเด็กก่อน จริงๆ มันจะมีความฝันที่เด็กพูดแล้วดูตลก แต่สิ่งที่ตลกๆ นั่นแหละคือ สิ่งที่เขาอยากมี อยากเป็น อยากทำจริงๆ อันนั้นแหละคือความฝันที่แท้จริงของเขา คือตัวตนของเขา เด็กๆ อาจบอกว่า ความฝันของหนูคือไปดาวอังคาร ถ้าเราไม่ปล่อยผ่าน เราจะรู้จะเห็นคำว่า อยากไปดาวอังคาร ได้สะท้อนตัวตนของเขา เช่น เขาอาจจะเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวก็ได้นะ หรือ เป็นคนชอบค้นหาสำรวจในพื้นที่ที่คนอื่นไม่อยากไป

“เราคิดว่า ถ้าไม่ใช่คำตอบที่ผู้ใหญ่อยากได้ยินอ่ะ เช่น อยากเป็นทหาร ตำรวจ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ที่สิ่งที่จับต้องได้ แต่หากเราได้คุยกับเด็กๆ แบบสบายๆ สิ่งที่เขาพูดมันคือ สิ่งที่เขาอยากทำจริงๆ ซึ่งอันนี้เป็นความรู้สึกของเราเองที่เราอยากเป็นตลก เป็นครู เป็นความคิดที่ไม่ได้นึกอะไรไว้เลย ถามปุ๊บตอบปั๊บ แล้วสุดท้ายคือ สิ่งที่เป็นเราในทุกวันนี้ ถ้าในฐานะผู้ใหญ่ เราต้องฟังเด็ก แล้วจะเจอร่องรอยตัวตนของเขา ที่สุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นตัวเขาในวัยผู้ใหญ่นั่นเอง”

 

แล้วกับน้องณนญ ลูกสาว เคยเล่าความฝันให้ฟังบ้างมั้ย

“ทุกวันนี้ เขายึดแน่นมากว่า อยากเป็นคนตัดขนหมา นี่คือความฝันความชอบของเขา ลูกแน่วแน่มาก พูดมาสองสามปี แม่อย่างเราก็อ่ะ คงต้องเป็นคนตัดขนน้องหมาจริงๆ แล้วล่ะ (หัวเราะ) ที่ลูกชอบอาจเป็นเพราะไม่มีหมาอยู่ในบ้าน แต่น้องหมาจากหนังสือนิทานและสื่อต่างๆ ถูกนำมาเล่าจนมันไปทำงานกับหัวใจของลูกมากกว่า”

 

ในฐานะแม่เริ่มวางแผนสนับสนุนลูกไว้บ้างมั้ย

“เรามองว่าการสนับสนุนอย่างแรกคือ ไม่ตัดทิ้ง ไม่ตัดสิทธิความชอบและความอยากที่จะทำสิ่งนั้น เราเองก็ยังไม่ได้รีบด่วนตัดสินแทนลูกว่าจะกลายเป็นอาชีพที่ทำแล้วรอดมั้ย เราเองก็ไม่ได้จริงจังขั้นตอน แต่ก็คุยกับลูกให้เป็นเรื่องสนุกและตลก แต่เราก็เชื่อนะว่า เป็นไปได้ และไม่ห่วงด้วย แม่ว่ารวยด้วยซ้ำ ทำได้หมด แม่ไม่ติดอะไรเลย”

 

พอพูดถึงคุณแม่ ‘อาชีพแม่’ เป็นหนึ่งในความฝันของนิดนกหรือเปล่า

“พูดแล้วตลก! เป็น! จำได้ว่าตอนหลังเรียนจบใหม่ๆ แล้วไปสัมภาษณ์งาน ฝ่าย HR ให้เล่าเป้าหมายในชีวิตให้ฟังหน่อย แล้วให้เขียนบนกระดาน เราเขียนไปว่า ทำงานประสบการณ์ความสำเร็จ มีเงินเดือนที่พออยู่ได้ หาผู้ชายสักคน แล้วยอดบนสุดของกระดานคือคำว่า ‘แต่งงานและมีลูก’ ทุกคนพากันหัวเราะ และสุดท้ายก็ได้งานด้วยนะ (หัวเราะ)

“เรามองว่า ในชีวิตนี้ต้องมีลูก เพื่อให้มันครบ เพื่อให้เรารู้แล้วว่า เกิดมาทั้งทีต้องใช้มดลูกสักหน่อย (หัวเราะ) และเมื่อมีแล้ว ลูกก็ทำให้เราเข้าใจหลายๆ อย่างในชีวิตมากขึ้น แต่ถ้าหากว่า มีลูกแล้วชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมั้ย เออ..มันก็ใช่นะ! มันก็เปลี่ยนขนาดนั้นจริงๆ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้เกินไปจากที่คิดไว้”  

จากเด็กหญิงนิดนกคนนั้น สู่คุณแม่นิดนกวันนี้ มีอะไรอยากบอกเด็กน้อยคนนั้นบ้างมั้ย

“ขอบคุณที่เติบโตมาอย่างดีนะ ขอบคุณตัวเองที่ใช้ชีวิตได้คุ้มแล้วในวัยเด็ก ทุกอย่างโอเคหมดเลย”

สัมภาษณ์และเรียบเรียง : ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล