สรุป 5 สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านนิทานให้ลูกฟัง ฉบับคุณแม่นิดนก นักเขียนและเจ้าของร้านหนังสือ booksbunny - Jamsai Kids Store | ร้านหนังสือออนไลน์ คลังนิยายแจ่มใส

ตะกร้าสินค้า

empty-cart-img

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

เลือกซื้อสินค้า
โปรโมชั่นส่วนลด และพรีเมี่ยมจะแสดงในหน้าตะกร้าสินค้าของฉัน

ราคาสินค้า:

0.00 บาท

สรุป 5 สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านนิทานให้ลูกฟัง ฉบับคุณแม่นิดนก นักเขียนและเจ้าของร้านหนังสือ booksbunny

Share:   

สรุป 5 สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านนิทานให้ลูกฟัง

ฉบับคุณแม่นิดนก นักเขียนและเจ้าของร้านหนังสือ booksbunny

  “การอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ จะไปสะสมในตัวลูกได้เอง โดยไม่ต้องหวังผลว่าลูกจะเป็นนักอ่าน หรือนักอะไร แต่จะได้ผลที่ดีต่อลูกในทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอน” น้ำเสียงที่หนักแน่น และเต็มไปด้วยความมั่นใจของ ‘นิดนก’ - พนิตชนก ดำเนินธรรม คุณแม่ของน้องณนญวัย 7 ขวบ นักเขียน และเป็นเจ้าของร้านหนังสือ booksbunny

นิดนกบอกเราว่า “การอ่านนิทานให้ลูกฟัง แม้ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ในท้อง มันเป็นเรื่องของการได้ยินเสียง และการสื่อสารภาษาของเราที่ลูกจะได้ยิน ตอนพูด เราพูดกับลูกทั้งวันอยู่แล้ว แต่บางทีก็พูดมาก พูดเยอะ พูดไปเรื่อย เราเลยใช้หนังสือทำให้ตัวเองสงบ เพื่อใช้คำที่พูดกับลูกเป็นคำสวยงาม เป็นคำที่ถูกเรียบเรียงมาแล้ว และอ่านเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้”  

           ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ลูกสาวเติบโต มาพร้อมกับกองหนังสือเต็มบ้าน นิดนกบอกว่า การอ่านนิทานให้ลูกฟังทำให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย คัดสรรมาแล้วมีห้าเรื่องที่นิดนกอยากจะเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฟังกันค่ะ

 

หนึ่ง : หนังสือนิทานคือ ‘เครื่องมือง้อกันและกัน’

เวลาเราทะเลาะกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่เมื่อขึ้นเตียงปุบ ลูกจะเลือกหนังสือนิทานที่อบอุ่นหัวใจ มาให้เราอ่านให้ฟังเสมอ อย่างเล่มล่าสุดที่ลูกอ่านบ่อยมาก และใช้เอามาง้อคือ เรื่อง แม่ครับ ผมสงสัย ของแจ่มใส คิดส์ เราเลยรู้สึกว่าเหมือนกับ ‘การส่งจดหมายรัก’ แต่เป็นจดหมายที่เอาไว้บอกกัน ในวันที่ลูกยังเขียนไม่ได้ และอ่านไม่ออก เราเองก็เช่นกัน

 

สอง : สร้าง ‘นักอ่านตามแบบฉบับเด็ก’

แม่อย่างเราไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกังวล เด็กๆ จะมีวิธีการอ่าน และจังหวะเวลาในการอ่านแบบฉบับของตัวเขาเอง สังเกตจากลูกสาวที่ฟังนิทานไปเรื่อยๆ จนเรามานึกสงสัยว่า ลูกจะเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในหนังสือหรือเปล่า ทำไมไม่เคยขอย้อนดูเลย จนเรามาพบว่า เขาจะมีเวลาเงียบในตอนเช้าๆ ตื่นมาจะหยิบหนังสือมาเปิดภาพดูเองช้าๆ ใช้เวลาหนึ่งหน้าช้ากว่าที่เราอ่านให้เขาฟังเยอะมาก ลูกฟังจากที่เราอ่าน แต่เขาจะเป็นผู้กำหนดการอ่าน ใช้เวลาไปกับการพิจารณาตัวละคร สิ่งเหล่านี้ สำหรับเรา แปลว่าเขาคือนักอ่านแล้วนะ 

 

สาม : ‘หนังสือให้ความกล้าหาญทางภาษา และทักษะเรียนรู้โลกใบนี้’

อย่าง หนังสือสำหรับเด็กที่มีตัวหนังสือน้อย แต่ว่าจริงๆ แล้วหนังสือที่มีคุณภาพจะให้คุณค่าทางภาษาที่มีคุณภาพมากๆ บางทีเจอคำศัพท์ยากๆ ให้ไปต่อได้เลย แล้วเด็กจะเรียนรู้คำศัพท์นั้นในวันนั้นเลย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางได้เรียนรู้คำนี้ และหากเขาไม่ถามก็ไม่เป็นอะไร เพราะถือว่าเขากำลังเรียนรู้และให้เรื่องราวได้พาลูกไปด้วยตัวเอง และนี่คือเซนซ์ของการเรียนรู้โลกใบนี้ที่เขาสามารถเรียนรู้และหาคำตอบบางอย่างในชีวิตด้วยตัวเขาเองได้

 

สี่ : ‘ในชั้นหนังสือของลูกควรมีหนังสือที่หลากหลาย’

บางทีลูกชอบตัวละครหรือหนังสือเรื่องนี้ แล้วเราต้องตามเก็บให้ครบซีรีย์ เราเข้าใจนะเพราะเราก็ทำ (หัวเราะ) มีครบทุกเล่มได้ แต่โชว์ปกแค่หนึ่งเล่มก็พอ แล้วให้มีเล่มอื่นด้วย มีหนังสือคำสั้น คำยาว ภาพสีน้ำ สีไม้ ให้ลูกได้เห็นความหลากหลายก่อน เปิดโอกาสให้หนังสือที่มีเรื่องราวแปลกใหม่ มีแนวภาพที่ไม่คุ้นเคย ได้เกิดในวงการของลูกบ้าง เรามองว่า เด็กควรจะได้รับความหลากหลายให้มากตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนที่ลูกจะเลือกเองในตอนโต

 

ห้า : ได้กลับไปเจอกับความสนุกจากนิทานเหมือนเด็กๆ อีกครั้ง

สุดท้ายต้องบอกว่า คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเอาตัวเองเข้าไปสนุกกับเรื่องราวในหนังสือนิทานของลูกด้วย เพราะหนังสือภาพสมัยนี้เป็นหนังสือที่ร่วมสมัยและมีเนื้อหาที่หลากหลายมากๆ เป็นวรรณกรรมชนิดหนึ่ง ที่เราร่วมสนุกกับหนังสือได้เสมอ อย่างเราเคยอ่านหนังสือแล้วน้ำตาไหล ลูกก็ถามว่าแม่เป็นอะไร เราบอกว่า อ่านแล้วรู้สึกเศร้า เราก็ยอมรับ พออ่านหนังสือบางเรื่องแล้วสนุก หัวเราะออกมา หรือบางเล่มที่เราไม่ชอบ เราก็สามารถเล่า และแสดงความคิดเห็นร่วมกันกับลูกได้ 

เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ : ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล