หลังเลิกเรียน คุณพ่อคุณแม่น่าจะสังเกตเห็นว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ลูกจะได้วางเรื่องหนักๆ (แบบเด็กๆ) ลงไปบ้าง เพราะลูกๆ จะได้กินขนม ได้แวะเล่น และได้ปลดปล่อยพลังที่ยังคงล้นเหลือให้ออกไปจนหมด ลูกจะเริ่มผ่อนคลายหลังจากวุ่นวายมาทั้งวัน
แต่คุณพ่อคุณแม่เชื่อไหมว่า ยังมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับลูกอีกช่วงหนึ่งที่ไม่ควรปล่อยผ่าน นั่นก็คือ…
‘30 นาทีก่อนนอน’ เพราะนั่นคือ ช่วงเวลา Prime time ที่ดีต่อใจลูก (รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ด้วย) บอกเลยว่าดีต่อคุณภาพการนอนหลับ ทำให้ลูกหลับสนิท ตื่นมาสดใส พร้อมเผชิญโลกกว้าง เรียนรู้สิ่งใหม่ และกล้าทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมั่นใจต่อไป
Prime time ก่อนนอน 30 นาที สำคัญอย่างไร ดีต่อลูกและคุณพ่อคุณแม่แค่ไหน และต้องทำอะไรบ้างถึงจะมีช่วงเวลาแสนดีแบบนั้นได้
เรามาหาคำตอบ พร้อมแชร์เทคนิคดีๆ ที่น่าสนใจจากการพูดคุยกับ ‘หมอมะเมี่ยว’ - พญ.มนิสสรา เกตุแก้ว จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจและเห็นความสำคัญของช่วงเวลาก่อนนอน พร้อมกิจกรรมที่ง่ายที่สุด ที่สามารถทำได้ก่อนนอน อย่าง การอ่านนิทานให้ลูกฟัง หรือแม้กระทั่งการเล่าเรื่องเบาๆ ก่อนเข้านอน
มาสร้างเวลาคุณภาพ และชวนคุณพ่อคุณแม่มาตั้งใจมอบ Prime time ช่วงเวลาแสนดีที่อบอุ่นนี้ให้กับลูกไปด้วยกันกับแจ่มใสคิดส์นะคะ
‘นอนดี’ ‘ใจอุ่น’ ‘ตื่นมามีพลัง’ สามคำสำคัญ รางวัลสำหรับเด็กเล็ก
หมอมะเมี่ยวอธิบายว่า ในเชิงจิตวิทยา ช่วงเวลาก่อนนอนเกี่ยวข้องกับอารมณ์และการเจริญเติบโตของเด็กๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพราะเป็นที่มาของสามเรื่องสำคัญที่เด็กๆ จะได้รับ โดยเฉพาะหากคุณพ่อคุณแม่ได้ทำให้ช่วงเวลาก่อนนอน กลายเป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพ (Quality Time) ร่วมกับลูกเป็นประจำและสม่ำเสมอ เรามาดูสามเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน
หนึ่ง นอนดี หมายถึง นอนได้เต็มอิ่ม เพราะเมื่อลูกเตรียมตัวเข้านอนได้ด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย สงบ โล่งใจและมีความสุข เด็กๆ ก็จะนอนหลับได้ง่ายขึ้น และนอนได้เต็มอิ่ม
สอง ใจอุ่น หมายถึง รู้สึกมั่นคงปลอดภัย เพราะช่วงเวลาก่อนนอนสำหรับเด็กเล็กก่อนวัย 9 ขวบ จะเป็นเวลาที่ดูน่ากลัว ทุกอย่างมืด เงียบ และเต็มไปด้วยเรื่องราวแฟนตาซีเหนือจินตนาการไปหมด ตัวอย่างเช่น เด็กเล็กก่อนเข้าอนุบาล จะกลัวการแยกจากกับคุณพ่อคุณแม่มากที่สุด
เมื่อโตขึ้นอีกนิดเข้าอนุบาลจนถึงประถมต้น จะกลัวเรื่องความมืด หรือสิ่งที่มองไม่เห็น อย่าง ผี ที่จินตนาการไปได้ไกลมากกว่าการแยกจากกับคุณพ่อคุณแม่ ที่วัยนี้เริ่มเข้าใจมากขึ้น
ดังนั้น การที่ลูกได้ใช้เวลาก่อนนอน ด้วยการอ่านนิทานด้วยกัน นอนห้องเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ ได้กอด ได้พูดคุยกัน ได้เห็นใบหน้าของคุณแม่ ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของคุณพ่อ ได้กลิ่นห้องนอนที่คุ้นเคย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และลูกก็จะนอนหลับได้ง่ายขึ้น
สาม ตื่นมามีพลังใจ หลับสบายคลายกังวล ลูกรู้ว่าเมื่อคืนได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่ ได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีๆ ก่อนจะหลับตา นี่คือ ช่วงเวลาทอง ที่ได้ทำสิ่งต่างๆ กับคุณพ่อคุณแม่ ได้อ้อน ได้ขอ ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน
หมอมะเมี่ยวเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ‘พ่อแม่ก็เหมือนกับการเขียนไดอารี่’ การที่ลูกได้เล่าเรื่องต่างๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ก็เหมือนเป็นชดเชยการเขียนไดอารี่ในวัยที่ลูกยังเขียนไม่เก่ง หรือสื่อสารยังไม่ดีมากนัก และยังเป็นเหมือน ‘เครื่องบันทึกเทป’ ให้กับลูก เรียกได้ว่า พ่อกับแม่เป็น outlet ทางความรู้สึกและอารมณ์ที่ลูก ๆ เจอมาตลอดทั้งวัน
“เมื่อลูกตื่นนอน ลูกก็จะพร้อมไปเจอสิ่งใหม่ ๆ ต่อไป และ ไม่ว่าเขาจะไปเจอเรื่องอะไรมา เรื่องร้ายหรือดีก็ช่าง แต่เขาก็จะมีที่ที่เขาสามารถเล่าเรื่องต่างๆ สื่อสาร ขอความช่วยเหลือ หรือขอคำแนะนำ ได้รับความอบอุ่น คำปลอบใจจากคุณพ่อคุณแม่เสมอ”
เพราะฉะนั้นช่วงเวลาก่อนนอนที่มีคุณภาพ จะได้ทั้งเรื่องกายภาพ คุณภาพการนอน และได้เรื่องของ Secure base เป็นฐานที่มั่นอันปลอดภัยให้ลูกได้ในระยะยาว
30 นาทีก่อนนอน กับสองกิจกรรมเบาๆ อ่านนิทาน และเล่าเรื่อง เพื่อให้ลูกคูลดาวน์
ตามหลักสุขอนามัยการนอนหลับ (sleep hygiene) คุณพ่อคุณแม่จะต้องฝึกลักษณะการนอนของลูกให้มีคุณภาพ ควรเข้านอนเป็นเวลา ลดกิจกรรมหนักๆ อย่างการวิ่งเล่น ก่อนนอน 2 - 3 ชั่วโมง และเตรียมตัวเข้านอนก่อน 30 นาที ด้วยการทำกิจกรรมเบาๆ เข้าสู่โหมด Cool Down เพื่อเตรียมตัวเข้านอน
หมอมะเมี่ยวแนะนำกิจกรรมง่ายที่สุดและสามารถทำได้ทุกวันคือ หนึ่ง อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง อาจใช้เป็นนิทานภาพที่สบายตา แบบ Wordless เน้นเนื้อเรื่องสบายใจ อ่านแล้วทำให้รู้สึกสนุก ได้ความอบอุ่นหัวใจ ในขณะเดียวกัน ยังทำให้คุณพ่อคุณแม่เสมือนได้กลับไปเป็นเด็กวัยเดียวกับลูกอีกครั้ง ได้ทำอะไรสนุกๆ ไปด้วยกัน ได้อินไปกับตัวละครในนิทาน และได้ผ่อนคลายไปในตัวด้วยนิทานเล่มเดียวกับลูก
สอง เล่าเรื่องหรือเล่านิทานโดยไม่ต้องมีหนังสือนิทาน อาจเล่าเรื่องสมัยคุณพ่อคุณแม่ตอนเป็นเด็ก ให้ลูกเล่าเรื่องที่โรงเรียน หรือพูดคุยกันเรื่องเบาๆ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเครียดๆ หรือการให้ลูกเล่าเพื่อ check list เรื่องบางอย่างกับลูก นอกจากจะช่วยให้ลูกได้รู้สึกว่า มีที่ที่ปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ผ่านวีรกรรมของคุณพ่อคุณแม่ในอดีตได้ด้วย
แต่หากใช้สองกิจกรรมนี้แล้วไม่ได้ผล ลูกก็ยังไม่พร้อมนอน อาจลองใช้วิธีอื่น เช่น นวดสัมผัส ทาครีม นั่งสมาธิ สวดมนตร์ ดื่มนมอุ่นๆ สักนิดหน่อย กอดตุ๊กตาตัวโปรด ห่มผ้าผืนโปรด ให้คุณแม่ร้องเพลงกล่อมเบาๆ เพื่อช่วยให้ลูกเข้าสู่ห้วงแห่งการนอน และที่สำคัญควรจัดบรรยากาศในห้องนอนให้พร้อม เช่น ปิดทีวี ปิดเครื่องมือสื่อสาร ไม่ให้มีสิ่งเร้าเยอะ ไม่ต้องคุยกันเสียงดังมาก เปิดไฟสว่างแค่สลัวๆ ทำห้องให้สบายๆ บรรยากาศในห้องนอนต้องเป็นส่วนตัวจริงๆ ไม่ใช่เดี๋ยวคนนั้นเดินเข้ามา เดี๋ยวมีคนโน้นตะโกนพูดด้วย ก็จะช่วยให้สามสิบนาทีนี้ ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
Golden Period โอกาสทองของการสร้างความผูกพัน ด้วยเวลาสั้นๆ ก่อนนอน
หมอมะเมี่ยวบอกว่า “เด็กสมัยนี้เติบโตเร็ว รับองค์ความรู้ใหม่ๆ ไว แต่ช่วงเวลาที่เขาจะมีคนให้ความอบอุ่น ให้คำแนะนำ อยู่เป็นเพื่อนเขา นั่งลงข้างๆ เขา ถือว่าน้อยมากในยุคนี้
“เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาที่ลูกยังเล็กต้องการคุณพ่อคุณแม่ ยังอยากใช้เวลาทั้งหมดกับคุณพ่อคุณแม่ หมอว่านี่คือ Golden Period ช่วงเวลาของการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูก ถ้าเราใช้เวลาตรงนี้ได้อย่างคุ้มค่า ก็จะสามารถสร้างโซ่ทองคล้องใจให้กับลูก เมื่อเติบโตขึ้น ถ้าเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ เวลาที่เขาไปเจอทางผิด สายสัมพันธ์ที่ดีนี้ จะคอยดึงรั้งไว้ ให้เขากลับมา และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีเรื่องยากลำบากใจ จะมีคนที่อยู่ตรงนี้ คอยอยู่กับเขา ให้ความอบอุ่นกับเขาได้ตลอด
การใช้เวลาร่วมกัน มีประโยชน์ ณ ช่วงเวลานั้นเสมอ ลูกมีความสุข รู้สึกสนุกสนาน มีความรู้สึกปลอดภัย มั่นคงในความรักของพ่อแม่ มันจะส่งผลระยะยาวไปทั้งชีวิต และหากทำได้ทุกช่วงเวลาก็จะดี แต่ช่วงเวลาก่อนนอน คือ ช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด เงียบที่สุด และได้สัมผัสกันมากที่สุดเท่านั้นเอง”
#แจ่มใสคิดส์ #JamsaiKids #หนังสือที่เติมเต็มเวลาดีๆให้ครอบครัว #PrimeTimePearTime #หนังสือเด็ก #เวลาคุณภาพ #นิทานเสริมทักษะ #หนังสือนิทาน #นิทานแนะนำ #พ่อแม่มือใหม่ #นิทานเด็ก #หนังสือเสริมพัฒนาการ
#แจ่มใสไม่ได้มีดีแค่นิยาย