แชร์มุมมองการเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของลูกและโลกใบนี้ - Jamsai Kids Store | ร้านหนังสือออนไลน์ คลังนิยายแจ่มใส

ตะกร้าสินค้า

empty-cart-img

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

เลือกซื้อสินค้า
โปรโมชั่นส่วนลด และพรีเมี่ยมจะแสดงในหน้าตะกร้าสินค้าของฉัน

ราคาสินค้า:

0.00 บาท

แชร์มุมมองการเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของลูกและโลกใบนี้

Share:   

ย้อนกลับไปสักประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว การเล่นสนุกในสมัยของพวกเราที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ในวันนี้ คือการได้ออกไปเล่นอย่างเต็มที่ ยังพอมีกลุ่มเพื่อนข้างบ้าน ให้ชวนกันไปวิ่งเล่น ยิ่งถ้าใครเป็นเด็กที่เติบโตในต่างจังหวัด คงคุ้นเคยกับการได้ ลุยฝน เล่นโคลน ปีนต้นไม้ วิ่งแข่ง ซ่อนแอบ แทบจะทุกความเคลื่อนไหวของเรา และทุกกิจกรรม มักเกิดขึ้นบริเวณรอบๆ บ้าน บ้านที่มีพ่อแม่ พี่น้อง ญาติๆ มากมายรายล้อม บ้านที่รู้ว่า เด็กก็คือ เด็ก และปล่อยให้เล่นจนฉ่ำใจ (แม้จะโดนบ่นทีหลังก็ตาม) - วัยแบบนั้นช่างมีความสุขจัง ว่าไหม 

สิ่งดีๆ เหล่านี้ อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำของเด็กในวันนั้น ที่วันนี้ได้เติบโตมาเป็นคุณพ่อคุณแม่ และรู้สึกว่าอยากจะดูแลลูกให้เป็นเด็กธรรมดาๆ ที่มีความสุข จิตใจแข็งแกร่ง มีพัฒนาการสมวัย และใช้ชีวิตในสังคมนี้ได้อย่างพอเหมาะพอดี

วันนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก กับ ‘แม่โรส’ - จิตราพัชร ประเสริฐคงแก้ว คุณแม่ของเด็กชายวัยหกขวบ และเจ้าของร้านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษออนไลน์ ที่มาแชร์มุมมองเรื่องการเลี้ยงลูกตามธรรมชาติ ที่แปลว่า การทำความเข้าใจธรรมชาติของลูก และการฝึกให้ลูกได้อยู่กับธรรมชาติ เพื่อปล่อยให้ลูกได้ดำเนินชีวิตน้อยๆ ของเขาไปตามจังหวะที่ควรจำเป็น 

เพราะอะไร แม่โรส ถึงเชื่อในเรื่อง “ไม่เร่งรัด ไม่เร่งเร้า ไม่เร่งรีบ” ให้ลูกได้เล่นอย่างเต็มที่ เรียนรู้ทักษะต่างๆ ทั้งจากคำแนะนำของพ่อแม่ จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวลูก ขณะเดียวกันก็สอดแทรกข้อมูลใหม่ๆ ด้วยการชวนลูกๆ อ่านหนังสือนิทาน พาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน และการได้ออกเดินทาง พร้อมสร้างรากฐานจิตใจที่แข็งแกร่ง มี self esteem ที่เหมาะสม ก่อนที่ลูกจะต้องออกเดินทางชีวิตด้วยตัวเองในวันข้างหน้า

 

ได้เวลาพาลูกชาย(และคุณพ่อคุณแม่) ออกเดินทาง เรียนรู้ชีวิต และโลกกว้างอย่างสมจริง

เราน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวอยู่บ่อยๆ ว่าการออกเดินทางคือการเรียนรู้ – ถูกต้องแล้วค่ะ!

ลูกชายของแม่โรสได้เรียนรู้ทักษะรอบตัวจากการออกเดินทางอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ระหว่างบ้านในเมือง กับบ้านนอกเมือง ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับเชียงใหม่ หนีฝุ่นพิษไปบ้านคุณตาคุณยายที่ภาคอีสาน ติดสอยห้อยตามคุณพ่อไปช่วยงานของคุณปู่ที่สวนทุเรียนที่ภาคใต้ ดังนั้น ห้องเรียนของเด็กชายวัยหกขวบ จึงมีขนาดใหญ่เท่าสถานที่ที่เขาเดินทางไปถึง

“ในแต่ละปี บ้านเราออกเดินทางกันบ่อย ด้วยความจำเป็นและเป็นงาน ตรงนี้นี่เองที่ลูกจะได้ใช้ชีวิตและเรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่น อย่างบ้านที่อีสาน ลูกๆ จะได้อยู่กับลูกพี่ลูกน้องในวัยเดียวกัน เล่นด้วยกัน เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวไปกับคนในครอบครัว และเราก็ปล่อยให้ลูกเล่นอย่างเต็มที่ โดยเล่นจากสิ่งของต่างๆ ในละแวกบ้าน เล่นตามสิ่งแวดล้อม

“จนมาถึงช่วงกลางปี ก็ต้องกลับไปทำงานในสวนทุเรียนของคุณปู่ที่เบตง การเดินทางของเราก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เรารีบคว้าโอกาสนี้แวะเที่ยวสถานที่ต่างๆ เราและลูกก็จะได้เห็นอะไรๆ มากมาย แต่ละจังหวัดที่ผ่านก็จะมีจุดที่น่าสนใจ วิวสองข้างเปลี่ยนไป ได้เห็นธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ เปลี่ยนจากภูเขา เป็นป่า เป็นทะเล สิ่งแวดล้อมที่เจอก็ต่างกัน”

นอกจากการเดินทางจะเป็นเรื่องจำเป็นแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่จะได้พาลูกทำกิจกรรมนอกบ้าน ซึ่งนอกจากจะได้รับความสนุกอย่างเต็มที่แล้ว ยังเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่พ่อแม่ลูกได้ใช้ร่วมกัน และที่สำคัญยังมีส่วนช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมอีกหลายด้านด้วย โดยแม่โรสยกตัวอย่างว่า 

“ลูกๆ จะได้เรียนรู้ถึงการใช้พื้นที่สาธารณะ การเข้าพักที่โรงแรม มารยาททางสังคม ได้เห็นว่าคนอื่นๆ มีการเข้าแถว รอคิว การเช็คอินท์ เช็คเอ้าท์ การทักทายผู้คน การใช้พื้นที่และอุปกรณ์สาธารณะร่วมกับผู้อื่น ทุกอย่างสอนได้หมดเลยและลูกก็เรียนรู้ได้ ผ่านคำแนะนำของพ่อแม่ไปตลอดทาง”

 

ทักษะรอบตัวของลูก งอกงามอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยความเป็นธรรมชาติของลูกและโลกใบนี้

“เราเชื่อว่า การเรียนรู้ของเด็กๆ จะเกิดได้เองโดยอัตโนมัติ และไปตามธรรมชาติ เราแค่ต้องรอสักหน่อย แต่ต้องรอแบบไม่ซีเรียส และไม่เร่งรัด” แม่โรสบอกกับเรา พร้อมยกตัวอย่าง เรื่องทักษะทางด้านภาษาของลูกชาย

“ลูกชายจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพราะเราพูดคุยกับเขาตั้งแต่ยังเล็ก พอไปอยู่กับตายายที่อีสาน เขาก็ได้ยินได้ฟังและได้ใช้ภาษาไทยอีสาน ส่วนภาษาไทยกลางยังติดขัดอยู่บ้าง

“กระทั่งประมาณ 4 ขวบ เป็นวัยที่เรียนรู้ภาษาได้ดีมากๆ และเราก็พาลูกมาที่บ้านคุณปู่บ่อยๆ ลูกก็จะค่อยๆ เรียนรู้จากคนรอบข้าง ช่วงแรกๆ คนอื่นรอบตัวก็ไม่ได้เข้าใจภาษาของลูก แต่ลูกก็พยายามด้วยการออกเสียงพูดภาษาอังกฤษเป็นโมโนโทน พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้คนอื่นเข้าใจ แต่คนอื่นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เมื่อไม่เข้าใจ อีกฝ่ายก็จะมีท่าทางพร้อมคำพูดบางอย่างกลับมา แล้วลูกก็เริ่มจับคำและท่าท่างของคนอื่น แล้วค่อยๆ พูดได้มากขึ้น

“ผ่านไปเกือบ 3 ปี ลูกโตขึ้น คลังคำศัพท์ในหัวของเขาก็มากขึ้น พอเดินทางบ่อยๆ ได้เจอผู้คนมากขึ้น และอยู่กับปู่ย่าที่ต้องใช้ภาษาไทยกลางมากขึ้น นานขึ้น เขาก็ดึงคำศัพท์ที่เคยได้ยินตอนยังเล็กๆ และพูดออกมาได้เลย โดยที่เราเองก็ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยกลางกับลูกสักเท่าไหร่ เราเพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ปิดกั้น และรอวันที่เห็นผล จนวันที่เขาอยากสื่อสารภาษานั้นๆ ด้วยตัวเขาเอง – สังเกตมั้ยคะว่า ยิ่งพูดว่า ‘สอน’ จะยิ่งต่อต้าน ค่อยๆ ให้เวลา พ่อแม่รอให้ลูกพร้อมอีกหน่อย เขาทำได้ค่ะ”

 

ปล่อยให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ เล่นอย่างเต็มที่ และเล่นไปตามธรรมชาติ

ยิ่งเล่น ยิ่งเลอะ ยิ่งเปรอะ ยิ่งได้ ความยิ่งใหญ่เหล่านี้งอกงามขึ้นจาก ‘การเล่น’ แม่โรสก็เห็นด้วย

“ด้วยความที่เราดูแลลูกเองที่บ้าน โดยที่เราไม่ได้ส่งลูกไปโรงเรียน ไม่ได้เน้นเรื่องเรียนวิชาการ แต่ให้ความสำคัญของการเรียนรู้ ระหว่างอยู่ที่บ้าน อยู่กับครอบครัว พ่อแม่ รวมถึงสิ่งแวดล้อม

“เราให้ลูกเล่น เล่นอย่างเดียวจริงๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ แต่จะมีการแทรกเรื่องอื่นๆ เข้ามาเสมอ เช่น อ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่แรกเกิด จนถึง 4 ขวบ ช่วยสร้างสมาธิ เพิ่มคลังคำศัพท์ และความรู้รอบตัว ตัวอักษรก็สอนจากเพลง เรียนรู้ทักษะต่างๆ จากการเล่นด้วยกัน และพาออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ออกเดินทาง ท่องเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เฝ้าดูการเติบโตของลูก มองให้เห็นศักยภาพของเขา 

“บางอย่างก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้เวลาลูกค่อยๆ ได้เรียนรู้ พาลูกทำสิ่งต่างๆ ทำซ้ำๆ พูดคุยกับลูกอยู่เสมอ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัวกับลูก  

“อย่างบ้านของเรา จะมีบ้านทั้งในเมืองและบ้านที่เป็นฟาร์ม เราไปๆ มาๆ สองบ้านนี้บ่อยมาก บ้านฟาร์มก็จะเต็มไปด้วยภูเขา ต้นไม้ แล้วก็ดิน ห่างไกลผู้คนมากๆ ได้ยินแต่เสียงสัตว์ต่างๆ ได้เสียงจากภูเขา เสียงนก ได้เห็นธรรมชาติแบบเต็มที่ พื้นดินสัมผัสเล่นกับดิน วิ่งเล่นกลางแจ้ง เป็นอิสระตรงที่ว่า มันไม่มีสิ่งกีดขวาง เราสามารถไปได้ไกล และก็สดชื่น ไม่มีมลพิษ

“เรามองว่า การได้เล่นแบบนี้คือ ความอิสระ ที่จะช่วยส่งเสริมให้เขากล้าคิด กล้าทำ กล้าไป มีที่ๆ ให้เขาได้ปีนป่าย ได้ทำให้มันสุดๆ ได้ออกกำลังกาย และมี self esteem (การเห็นคุณค่าในตัวเอง) ที่แข็งแรง แล้วเขาจะไปต่อได้เอง

“เราเองก็มีบ้านจัดสรรในเมืองเหมือนกัน ลูกก็ต้องไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านในเมืองและบ้านฟาร์ม พอมาอยู่บ้านในเมือง จะใช้เสียงดังๆ ไม่ได้ วิ่งแบบสุดลูกหูลูกตาก็ไม่ได้ เพราะว่าถนนในซอย มีรถเข้าออกเยอะ ต้องคอยระวัง เราก็ให้เล่นอยู่ในบ้าน ด้วยของเล่นปลายเปิด เช่น ตัวต่อเลโก้ ตัวต่อรางรถไฟ นอกจากจะช่วยให้อยู่เป็นเพื่อนลูกได้แล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้การแก้ปัญหาได้ด้วย”

“อีกมุมก็คือ การที่ลูกได้มาอยู่ในเมือง ก็จะได้รู้จักผู้คนในหมู่บ้าน ได้พูดคุยกัน ได้เล่นในพื้นที่สาธารณะอย่าง สนามเด็กเล่น ที่มีเด็กๆ คนอื่นร่วมใช้พื้นที่ด้วย เรียนรู้การแบ่งปัน เพราะเขาเล่นคนเดียวไม่ได้ เล่นสักพักต้องหยุด เพื่อให้คนอื่นเล่นบ้าง เวลามีเด็กคนอื่นมา ต้องเข้าหายังไง ใช้คำพูดดีๆ เล่นกันอย่างปลอดภัย และไม่ทำร้ายคนอื่น นี่ก็คือการอยู่ร่วมกันในสังคม แล้วพอเราไปเจอกันบ่อยครั้ง ก็เริ่มนัดเพื่อมาเจอกัน แม่ก็คุยกัน ลูกก็กลับมาเล่นด้วยกัน ก็กลายเป็นเพื่อนกันได้”

 

คุณแม่ say okay! เปิดโอกาสให้ลูกด้วยคำว่า ‘ได้’ อย่างมีขอบเขต

การปล่อยลูกตามธรรมชาติ กับการปล่อยให้ลูกทำตามใจ สองคำนี้ไม่เหมือนกัน แต่ใช้วิธีสอนลูกแบบเดียวกันได้

“เราจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และพูดให้ถูกต้องตั้งแต่ในครั้งแรก แล้วเด็กๆ จะจำขึ้นใจ 

“อย่าง เรื่องการปีน ถ้าครั้งแรกแม่บอกว่า ไม่ได้ เขาก็จะคิดแล้วว่าจะหาทางปีนยังไง ตรงข้าม หากเราบอกว่า ลองเลยลูก เขาก็จะไปได้ต่อ และมีความกล้ามากขึ้น แม้ว่าทุกครั้งที่ลูกเจออะไรใหม่ๆ เขาจะยังไม่ได้ไปเองในทันที แต่เขาจะหันมาหาเหมือนกับขออนุญาตก่อนว่า ทำได้หรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่เราจะให้นะ โดยเฉพาะในที่ที่เราเคยไปและเป็นที่ที่โล่งกว้าง  

“แต่พอมาอยู่ในพื้นที่จำกัดหรืออย่างในเมือง เราจะไม่ได้ห้ามลูกในทันที แต่จะตอบช้านิดนึง แล้วลูกก็จะสังเกตจากปฏิกิริยาของเราว่า เขาควรจะไปในทิศทางไหน บางอย่างก็จะชวนกันดู แล้วมาคุยกันก่อน มีข้อตกลงร่วมกัน เช่น วิ่งได้นะ ตรงนี้ไม่มีสิ่งกีดขวาง แต่ถ้ามีคนอื่น ต้องหลบด้วย หากวิ่งไปถึงตรงนั้นแล้ว วิ่งกลับมานะ เขาก็จะรู้ว่า เรารออยู่ตรงนี้

“มีช่วงหนึ่งตอนที่ลูกยังเล็ก แล้วอยากท้าทาย ก็จะแกล้งวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งออกไป แล้วดูว่า เราจะห้ามหรือมั้ย จะวิ่งตามมั้ย เรามองดูแล้วว่า ไม่อันตราย เราก็ไม่ห้าม ไม่วิ่งตาม และรอคอย แล้วเขาก็วิ่งกลับมาหาเราอยู่ดี”  

 

การเลี้ยงลูกตามธรรมชาติ คุณแม่ต้องอดทนหน่อย ใจเย็นอีกนิด รอคอยอีกหน่อย แล้วจะเห็นผลที่ดีกับลูก

การเลี้ยงลูกตามธรรมชาติ ฟังดูไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย  

“แม่ต้องอดทนหน่อย ใจเย็นอีกนิด และรอเวลาของลูก” คำอธิบายตามแนวทางของแม่โรส

“เราเลี้ยงลูกแบบปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจริงๆ แต่ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ไม่ได้ทิ้งๆ ขว้างๆ และไม่ใช่การตามใจ แต่เป็นการยืดหยุ่นตามสมควร แม่อย่างเราต้องใจเย็น ไม่เร่งรัดเวลาของเด็กๆ ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง คุณแม่ต้องเหนื่อยหน่อย ที่ต้องอดทนรอให้สิ่งต่างๆ ที่ลูกลงมือทำ เห็นผล ที่สำคัญต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ ไปตามวัย แล้วแม่จะรู้ว่า อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง อย่างนั้นเราต้องรอก่อน เดี๋ยวเรื่องดีๆ มันก็มา” (ยิ้ม)

เรียบเรียงบทสัมภาษณ์ : ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล