เรื่องเล่ายามเช้า ท่ามกลางความซุกซนของลูกสาว และความปั่นป่วนของมนุษย์แม่ แล้วเราจะสงบสุขได้กี่โมงนะ
'แม่เฟิร์น' - ปุณยนุช ยอแสงรัตน์
ว่ากันว่า เวลาช่วงเช้าตรู่ คือช่วงเวลาแห่งความสงบ ยิ่งได้ตื่นแต่เช้า ค่อยๆ ให้สายตาและหัวใจ ละเลียดไปกับแสงของพระอาทิตย์ที่ไล่เฉดสีจากอ่อนไปหาเข้ม จนกระทั่งทุกอย่างสว่างชัดเจน เสมือนเป็นนาฬิกาปลุกให้ร่างกายของเราได้ตื่นอย่างเต็มที่และพร้อมรับวันใหม่อย่างสดชื่นและแจ่มใสได้ตลอดทั้งวัน
ประโยคนี้ ‘แม่เฟิร์น’ - ปุณยนุช ยอแสงรัตน์ คุณแม่ลูกสาววัย 4 ขวบ คุณแม่เวิร์คกิ้งมัม นักบริหารการเรียนรู้ชำนาญการ จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ก่อนที่เราจะแต่งงาน มีลูก ยามเช้าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่น เป็นช่วงเวลาที่ได้เติมพลังให้กับชีวิต ได้อยู่กับตัวเอง และมีความสุข สำหรับเรามันคือ เวลาทอง ประมาณ 30 นาที ที่เราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้
“เราจะได้กลิ่นหอมบางอย่างในตอนเช้า ได้ยินเสียงนกร้อง รับรู้ถึงอากาศยามเช้า ได้ยินเสียงการหายใจของตัวเอง ได้อยู่กับความรู้สึกของตัวเอง เรารู้สึกว่า เป็นชีวิตในตอนเช้า ที่เรียบง่าย และมีความสุขจริงๆ”
“แต่นั่นเป็นความรื่นรมย์ก่อนเป็นมนุษย์แม่นะคะ” ประโยคช็อตฟีล มาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ถึงอย่างนั้น แม่เฟิร์นก็บอกว่า แท้ที่จริงแล้ว ช่วงเวลานั้นไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการของตัวเอง ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้สามารถปลูกฝังและสอนให้ลูกได้ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กน้อยวัยอนุบาล ที่จะไปเชื่อมโยงไปกับความสงบจากกระบวนการภายในของความรู้สึกของลูกด้วย
ความสงบยามเช้า สร้างได้ด้วยสองมือแม่ นี่คือการเรียนรู้ที่เธอคนนี้ได้รับมา พร้อมที่จะเล่าต่อให้กับ ผู้หญิงที่เก่งและแกร่งที่สุดในโลก ‘มนุษย์แม่’ รู้สึกสงบและเป็นสุขได้ในทุกช่วงเวลา
เมื่อกลายเป็นมนุษย์แม่ ความสงบในยามเช้าก็ได้หายไป (ชั่วคราว)
หลังจากนั้นไม่นาน ยามเช้าและชีวิตที่แสนเรียบง่ายของหญิงสาววัยทำงานก็ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อกลายเป็นคุณแม่ลูกอ่อน ที่ต้องโฟกัสไปกับลูกน้อยเป็นคนแรก
“ช่วงหลังคลอด เรามีภาวะอารมณ์ที่เรียกว่า มาม่า บลู (MAMA BLUE) ด้วยความที่ลูกสาวเป็นเด็กที่ร้องไห้ตอนกลางคืน ร้องไห้แบบร้องวี๊ด ร้องไห้ไม่หยุด ตั้งแต่แรกเกิดถึงสองขวบ แล้วเขาเองก็สื่อสารไม่ได้ กลางคืนเราก็เหมือนไม่ได้นอน กลางวันเราต้องทำงาน รู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ”
ไม่ใช่แค่ความสงบในยามเช้า (รวมถึงช่วงค่ำคืน) ที่หายไป ความสงบในหัวใจของแม่ก็เช่นกัน
“ตอนนั้นเรารู้สึกว่า ตัวเองอยู่แบบนี้ไม่ได้ ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้กับการที่ลูกเป็นแบบนี้ เราเหนื่อย เหนื่อยจนสุดทางแล้ว เราไม่ได้นอนไม่เป็นไรนะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเสียงกรีดร้องของลูกยาวๆ เราทนไม่ได้
“แล้วจุดที่วิกฤติที่สุดของเราก็คือ ตอนนั้นลูกยังไม่ถึงขวบ พอเขาร้องวี๊ดยาวๆ เราเผลอตะคอกใส่ลูกโดยไม่รู้ตัว แต่ลูกก็ยังร้องอยู่ แล้วเราเองก็กรี๊ดออกมาเหมือนกัน จนสามีวิ่งมาอุ้มลูกออกไป”
เสียงลูกกรีดร้อง แม่ก็กรีดร้อง จนหัวใจแทบแตกสลาย แต่เมื่อได้สติ เธอบอกกับตัวเองว่า อยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่แค่ตัวของแม่ที่จะเจ็บปวด แต่ต้องส่งผลกระทบต่อลูกไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน
ตั้งสติ แล้วกลับมาอยู่กับตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน (และอยู่กับยามเช้าอีกครั้ง)
“ในเมื่อไม่ค่อยได้นอน ก็ลุกขึ้นมาใหม่ในตอนเช้า” แม่เฟิร์นหวนคืนสู่ยามเช้าอีกครั้ง จากนั้นเธอใช้วิธี ‘เปลี่ยนความรู้สึก’ และลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง แบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
“เราคิดออกแค่ว่า ต้องทำอะไรบางอย่าง แล้วบางอย่างนั้น เราทำไม่ได้เลย แต่เราอยากทำมันในตอนนี้ ถ้ามันจะทำให้เรามีคุณค่ามาก เพราะก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่า ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และสิ่งนั้นก็คือ…
“การปอกผลไม้”
แม่เฟิร์นเล่าต่อว่า เดิมที เธอไม่เคยใช้มีดปอกผลไม้ เพราะคุณแม่จะเป็นคนเตรียมไว้ให้ตลอด เช้าวันนั้นเลยลุกขึ้นมาปอกผลไม้ให้สามี นำไปกินที่ทำงาน ส่วนการจับมีดก็ยังงกๆ เงิ่นๆ ไม่ค่อยคล่อง ผลไม้ปอกพร้อมรับประทาน เดินทางไปถึงที่ทำงานของสามี และได้รับคำชม แถมยังได้ออเดอร์กลับมาอีก - แม่เฟิร์นใจฟู รู้สึกมีคุณค่าอีกครั้ง
“เราใช้ช่วงเวลาตั้งแต่ตอนตี 3 ครึ่งของทุกวัน ปอกผลไม้เพื่อนำไปขายในราคาเบาๆ เราได้อยู่กับทักษะการใช้มีดที่ไม่ค่อยคล่อง เราได้ใช้เวลาอยู่กับเตรียมผลไม้ การใช้มีดค่อยๆ ปอก ค่อยๆ หั่น สำหรับเรา มันไม่ใช่การนั่งสมาธิ แต่การที่เราได้อยู่กับตัวเอง การได้อยู่นิ่งๆ แบบนั้น ก็ทำให้เกิดความสงบ”
“ตื่นเช้าๆ แบบนั้น ได้ยินเสียงนก ได้กลิ่นหญ้าเหมือนเดิมไหม” เราถามกลับ
“ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย” เธอหัวเราะแล้วอธิบายว่า คงเป็นเพราะการปอกผลไม้ ต้องใช้มีดและต้องมีความจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อยู่กับปัจจุบัน และการนิ่งแบบนี้ ก็เหมือนกับการได้อยู่กับตัวเองอีกครั้ง และมันก็ช่วยเยียวยามนุษย์แม่อย่างเฟิร์นให้ไปต่อได้จริงๆ
ยามเช้าของลูก VS.ยามเช้าของแม่ สดใสได้ด้วยเสียงนกและดอกไม้บาน
“เมื่อลูกเข้าโรงเรียน มันก็เป็นอีกเลเวลหนึ่งที่ท้าทายเราใหม่อีกครั้ง” แม่เฟิร์นเล่าต่อ
“เราต้องปลุกลูกไปโรงเรียน อาบน้ำ ทำมื้อเช้าให้ลูก จัดการเรื่องลูก กิจวัตรของตัวเอง และยังคงต้มไข่ ปอกผลไม้ให้ทุกคนในบ้านเหมือนเดิม
แต่จะทำยังไงให้ตอนเช้าราบรื่น เราเลยใช้วิธีตื่นก่อนคนในบ้าน 1 ชั่วโมง เพื่อมาจัดการสิ่งต่างๆ จัดการอารมณ์ของตัวเอง และจัดการกิจวัตรของตัวเองให้เสร็จก่อนทุกคน”
ยามเช้าของแม่เฟิร์นค่อยๆ กลับมาสดชื่นอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเธอมีจังหวะใหม่ที่สอดคล้องไปกับยามเช้าของคนในครอบครัว โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อย
“เราจะใช้วิธีเปิดเพลงตอนเช้าเพื่อปลุกลูก เขาชอบเพลง ‘เจ้าขุนทอง’ มากเลย - อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน เหมือนเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ได้เวลาตื่นแล้วนะ
เราจะชอบใช้เสียงต่างๆ มาสร้างความเข้าใจและเรียกความสนใจของลูก เช่น ช่วงก่อนเข้านอน จะชวนฟังว่าได้ยินเสียงอะไร ได้ยินเสียงสัตว์อะไร ลูกก็จะบอกว่าได้ยินเสียงจิ้งหรีด เสียงแมลง
“ตอนเช้า เราก็จะตื่นมาฟังเสียงนกร้องด้วยกัน แล้วเราก็จะถามลูกว่า วันนี้ได้ยินเสียงนกร้องมั้ย ดังมาจากตรงไหนนะ เขาก็คอยมองหา อันนี้เป็นอีกวิธีการที่หนึ่ง ที่ทำให้ยามเช้าของลูกสดชื่นมากขึ้น
“เรามองว่า การที่ลูกมีเวลานอนมากพอ แล้วตื่นได้โดยไม่ต้องมีใครปลุก แต่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนจากธรรมชาติก่อน ทำให้ลูกอยากตื่นขึ้นมาด้วยตัวเอง
“เราว่า ถ้าลูกมีความสุขในตอนเช้า เขาจะมีความสุขทั้งวัน มีเหตุการณ์หนึ่ง ประมาณว่า ลูกเหมือนโมโห เพราะนอนดึก แล้วไม่อยากตื่นในตอนเช้า เราก็ไปดึงตัวเขาออกมาจากเตียงและพยายามทำให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ วันนั้นทั้งวันเขาก็จะหงุดหงิด จนครูที่โรงเรียนบอกว่า วันนี้ลูกพูดเสียงดัง เราก็รู้แล้วว่า วิธีปลุกแบบนี้ไม่ดี ลูกไปโรงเรียนแล้วอารมณ์ค้าง
“วิธีที่สองคือ ดอกไม้บานยามเช้า ลูกชอบมากและทำให้เขาอยากตื่นด้วยตัวเอง คือ ตอนเช้าๆ ดอกไม้จะบานเยอะ วันไหนที่เราบอกลูกว่า วันนี้ไปเก็บดอกไม้กันมั้ย เขาก็จะตื่นขึ้นมาเลย แล้วก็จะยอมไปอาบน้ำ พอทำอะไรเสร็จ พอมีเวลาสักหน่อย ก็จะพากันเดินเล่น ดูดอกไม้ และเก็บดอกไม้ด้วยกัน ก่อนไปส่งที่โรงเรียน”
แม่เฟิร์นเล่าต่อว่า “สมรภูมิรบยามเช้า ก็ยังคงมีอยู่ เมื่อเราเร่ง เรารีบ เราเครียดลูกก็เครียด บางวันไม่ต้องเป๊ะก็ได้ กินแค่ข้าวไข่ดาวแล้วไปโรงเรียนก็ได้ เราแค่รู้สึกว่า การได้ใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ เป็นของขวัญที่ดี ทั้งลูกและเรา”
ถึงเวลาชวนอ่าน ชวนเล่น ชวนนิ่ง ชวนช้า และชวนให้อยู่กับตัวเอง
ช่วงเวลาเช้าผ่านพ้นไป แต่ความซุกซนและความปั่นปวนของลูกวัยอนุบาลยังคงอยู่ตลอดทั้งวัน ความสงบของมนุษย์แม่ไม่เคยมีอยู่จริง แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์แม่ก็เอาอยู่ ด้วยความสงบ สยบทุกสิ่ง
“ด้วยความที่ลูกสาวอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เราเลยให้ลูกเรียนรู้จักกับความสงบ เช่น ชวนลูกฟังเสียงต่างๆ แต่กิจกรรมที่ได้ผลที่สุดคือ การอ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเล็ก ชวนดูภาพไปด้วยกัน เราคิดว่า เป็นวิธีฝึกสมาธิที่ดี ทำให้เขามีใจจดจ่อกับเรื่องราวในหนังสือ หรือฝึกสติให้กับลูกได้ เพราะระหว่างการฟังและดู ทำให้เขาอยู่นิ่งๆ ได้ง่ายขึ้นและลูกก็มีความสุขมาก
“นอกจากนี้ เราได้ใช้วิธีชวนดูสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น ดูก้อนเมฆสิ เป็นตัวอะไรนะ เล่นเดินบนขอนไม้ เล่นทรงตัว เล่นต่อก้อนหินให้สูง หรือการทวนความรู้สึกของลูก เช่น ตอนนี้หนูรู้สึกยังไง มีความสุขหรือเปล่า เป็นยังไงบ้าง เราใช้วิธีการประมาณนี้เพื่อฝึกให้ลูกช้าลง แต่พอเราทำความรู้จักกับลูกสาว เขาเป็นคนที่มีพลังล้นมาก เป็นเด็กคล่องแคล่ว ชอบผจญภัย เรารู้เลยว่า บางครั้งการสอนให้ช้า ก็ไม่ค่อยเหมาะกับเขาสักเท่าไหร่” (หัวเราะ)
พายุลูกใหญ่ (ในใจลูก) มาแล้ว และมันจะผ่านไปได้เช่นกัน
“เราเคยฝึกลูกเรื่องจัดการอารมณ์ เช่น เวลาโกรธให้หายใจก่อน หนึ่ง สอง สาม เขาก็ทำได้นะ แต่ไม่นาน เราเคยสอนว่า เวลาอยากจะพูดอะไร ถ้าโกรธหรือไม่พอใจ ให้ลูบที่อกก่อน 3 ที แล้วค่อยพูด แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ เราก็ลองหาวิธีใหม่ๆ เช่น หากลูกรู้สึกโกรธให้เต้นจึ้งๆ 2 ที ดีมั้ย สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผลสักอย่าง เพราะเวลาโกรธ เขาจะลืมหมด
“เราเองก็ได้เรียนรู้ว่า ณ ตอนนี้ ลูกอายุเท่านี้ สำหรับลูกสาว เราปล่อยให้เขารู้สึกไปก่อน แล้วให้เขาบอกตัวเองให้ได้ว่า เขารู้สึกยังไง อันนั้นวิเศษสุดๆ แล้ว และจะวิเศษขั้นกว่า เมื่อลูกบอกเราได้ว่า เขาต้องการอะไร เขาจะจัดการเรื่องนี้ยังไง นี่คือ กระบวนการความคิดข้างในของเขากำลังทำงาน เขากำลังอยุ่กับตัวเองอยู่ เขากำลังเรียนรู้ด้วยตัวเอง และ เราก็ให้โอกาสลูก ได้ใช้ชีวิตระหว่างวัน ให้เขาได้มีช่วงเวลาที่สนุกและเร็วแบบนี้ และมีช่วงเวลาที่ช้าและอยู่กับตัวเองด้วย
“หากลูกร้องไห้งอแง บางทีด้วยความเป็นเด็ก เขาเองก็ไม่รู้จะจัดการความรู้สึกนั้นยังไง เราเพียงแค่เข้าใจ และอยู่ข้างๆ เขา นั่งฟังเสียงร้องไห้ของเขาไปก่อน อยู่ด้วยกันตรงนั้น แล้วก็ให้เขาได้เรียนรู้อยู่กับปัจจุบัน ที่เขารู้สึกเศร้าหรือโกรธ
“เราเองก็ต้องเรียนรู้ไปกับลูกด้วย และที่สำคัญ เราเองก็ต้องฝึกให้ตัวเองสงบก่อน มาคิดๆ ดู เราเองก็ฝึกหลายเรื่องเหมือนลูกเลยนะ (หัวเราะ) แค่เพียงกระบวนการทำงานข้างในของตัวเองไม่ให้โกรธก็จะแย่แล้ว
“แต่จะสงบได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นเขา ไม่ใช่เราเห็นเรา ถ้าเราเห็นตัวเอง เราจะเห็นว่า โอ้โห ทำไมลูกร้องไห้ขนาดนี้ เอาแต่อาละวาดโวยวาย แล้วดูสิ ฉันจะเก็บของที่เลอะเทอะยังไง นี่คือเราเห็นตัวเอง แต่ถ้าเห็นลูก จะเห็นว่า ภายใต้เสียงร้องไห้นั้น มันมีอะไรซ่อนอยู่ หรือลูกต้องการความช่วยเหลือจากด้านในความรู้สึกของเขาจริงๆ”
แม่เฟิร์นขอแชร์ : เทคนิคเรียกสติของมนุษย์แม่ เมื่อความปรี๊ด มันจี๊ดขึ้นตา
กลับมาที่คุณแม่อีกครั้ง เมื่อแม่สงบ ลูกก็สงบ แม่เฟิร์นบอกว่า วิธีนี้ต้องใช้กระบวนการข้างในของตัวเอง
“ให้เริ่มจากการหายใจ หายใจเข้าออกยาวๆ เพื่ออยู่กับตัวเอง อยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า พอหายใจแล้ว ไม่ต้องคิดฟุ้งไปเรื่อยๆ ไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่ต้องหาคำตอบ ให้อยู่กับลมหายใจไปก่อน และไม่ต้องโทษตัวเอง
“การโทษตัวเองของเรา เหมือนเราฟังเสียงของเราแล้วบอกว่า เราตั้งใจอยากเป็นแม่ที่ดี แต่เรากลับตกม้าตาย กลายเป็นชนักติดหลังด้วยคำว่า ‘อยากเป็นแม่ที่ดี’ แล้วเราก็จะคาดหวังในตัวลูก จะต้องเป็นเด็กดี ไม่ร้องไห้ ร่าเริง
“แล้วผลก็คือ ลูกไม่ได้มีความสุข แต่กลับมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ตัวเราเองก็ไม่ได้มีความสุขไปกับความคิดที่ว่า ฉันจะต้องเป็นแม่ที่ดี กลายเป็นว่า เรากดดันตัวเอง เพราะโดยส่วนตัว เราเองก็เป็นคนที่อยากทำทุกๆ อย่างให้ดีในทุกเรื่องอยู่แล้ว
“แต่ไปๆ มาๆ เรารู้สึกเหนื่อย ในแต่ละวันเรามองไม่เห็นตัวเอง เราเห็นใครก็ไม่รู้วิ่งวนไปกับอะไรก็ไม่รู้ แล้วลูกเองก็ไม่ได้มีความสุขด้วย
จนวันหนึ่งเราก็เห็นคนรอบตัวเราจากไป เราก็รู้สึกว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาว พอมองกลับมาที่ตัวเอง เรารู้สึกว่า อยากใช้ชีวิตแบบนั้นจริงๆ หรอ
“เราก็เลยอยากเปลี่ยนมันอีกครั้ง เหมือนตอนปอกผลไม้ยามเช้า ตั้งเป้าไว้ว่า ลูกมีความสุข แต่เราไม่ต้องเป็นแม่ที่ดีที่สุดก็ได้ ขอให้เป็นแม่ที่มีความสุข ที่มีเวลาให้กับตัวเองบ้าง และไม่ต้องรู้สึกผิดนะ - เราให้กำลังใจคุณแม่ทุกคนเลยค่ะ
“สุดท้าย วิธีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย ก็คือ ยิ้ม ยิ้มเข้าไว้ ยิ้มสู้ สู้เสียงกรีดร้องของลูก แม้ข้างในอยากจะกรี๊ดตามลูกก็ตาม (หัวเราะ) แล้วชวนลูกไปดื่มน้ำเย็นๆ พอได้น้ำเย็นปุ๊บ เราจะดีขึ้นได้เอง (หัวเราะ)”