ก่อนหน้าที่เราจะเลือกสัมภาษณ์แขกรับเชิญของเดือนนี้ มีคำถามหนึ่งที่ค้างคาใจเรามานาน นั่นก็คือ อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเลือกที่จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ในเรื่องราวต่างๆ
และในฐานะผู้ปกครอง เราจะช่วยกระตุ้นความกล้าทดลองให้ลูกได้อย่างไร ช่วยปลูกฝังให้เขาล้มแล้วลุกเป็น และไม่กลัวความล้มเหลวด้วยวิธีไหนได้บ้าง
สุดท้าย บทเรียนและคำแนะนำที่ลูกได้รับ จะก่อเกิดผลลัพธ์ไปในทิศทางใด เมื่อถึงวัยที่เขาต้องเติบโตขึ้นและต้องออกไปเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง
แล้ววันหนึ่ง เราก็มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘ครูเก๋’ - กุสุมาวดี กรองทอง และผู้ก่อตั้ง Landlab พื้นที่เรียนรู้สำหรับครอบครัว ที่นี่มีกิจกรรมทดลองสายวิทย์ และFreeplay เล่นตามธรรมชาติ มุ่งเน้นการลงมือทำ ค้นคว้า ทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้ลองผิด ลองถูกด้วยตัวเอง
ครูเก๋ พร้อมแชร์ประสบการณ์ในฐานะคุณแม่(รุ่นพี่) ที่ผ่านช่วงเวลาการเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่มีหัวใจที่แข็งแกร่ง เรียนรู้วิธีล้มแบบไม่เจ็บ ลุกขึ้นให้เป็น และไปต่อได้ ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่ในอนาคต เด็กๆ ทุกคนจะต้องเผชิญด้วยตัวเอง โดยมีครอบครัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขาเสมอ
Q : จะสังเกตเห็นว่า เด็กบางคนเป็นเด็กสายลุยและสนใจสิ่งใหม่ๆ เสมอ ในขณะที่เด็กบางคนไม่กล้าที่จะทำอะไรใหม่ๆ หรือเคยทำแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ครูเก๋ใช้กระบวนการไหนบ้าง เพื่อทำให้เด็กที่ไม่ค่อยกล้า กลายเป็นเด็กที่กล้ามากขึ้น
“เราใช้วิธีเชิญชวน ให้เขาลองทำ แต่ไม่บังคับ เพราะเรารู้ว่า เวลามีผลต่อการตัดสินใจของเด็ก การชวนมากไป อาจทำให้เขาปิดใจ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี เขาอาจเคยลองทำมาแล้วก็ได้ และเขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะทำในเวลานี้จริงๆ
“ผู้ใหญ่อย่างเราต้องใจเย็นให้มากๆ และรอคอย รอจังหวะ เพื่อไม่ไปทำให้เขารู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำได้ไม่ดีนั้น เขาจะทำไม่ได้อีกเลย หรือกลับไปทำผิดซ้ำอีก เราจะให้เวลากับเขา เพื่อทำให้เขารู้ว่า ยังมีโอกาสที่จะลองทำได้เสมอ
“ด้วยการข้ามสิ่งที่เขาไม่พร้อมไปก่อน แล้วมองหาว่า เขามีความสนใจเรื่องอื่นมั้ย ให้เขารู้สึกแฮปปี้ก่อน แล้วค่อยวนกลับมาชวนใหม่ในเรื่องเดิม ด้วยประโยคคำถาม เช่น ถ้าทำตรงนี้ไม่ได้ ให้ครูช่วยไหม บางทีอาจจะต้องพาเขาทำ แล้วค่อยๆ ปล่อยให้เขาลงมือทำด้วยตัวเอง”
Q : ในเมื่อเด็กๆ ตั้งธงไปแล้วว่า ไม่เอา ไม่ทำ ครูเก๋มีวิธีกระตุ้นเขาให้รู้สึกมั่นใจในตัวเอง จนอยากจะกลับไปลุยทำสิ่งไม่กล้า กลัว หรือเคยทำพลาดเหล่านั้นได้อย่างไร
“เรามองว่า เด็กก็รู้สึกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เวลาที่ทำอะไรแล้วรู้สึกแย่ รู้สึกผิดไปหมด ใจเราก็ไม่ดีไปแล้ว แต่จะทำยังไงให้ ใจชื้นขึ้นมาล่ะ นั่นก็คือการให้โอกาส การเชียร์อัพ เช่น การปรบมือเมื่อเขาทำได้ ขอบคุณเด็กๆ ที่พยายามทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้เขารู้สึกว่า ลองและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้เสมอ
“และหัวใจสำคัญที่สุดคือ ‘การใช้คำพูดเชิงสร้างสรรค์’ คำพูดที่ไปซัพพอร์ตหัวใจเด็กๆ อย่างคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ เดี๋ยวเราลองตรงนี้กันใหม่ได้นะ หรือลองเปลี่ยนวิธีกันดูดีไหม หรือคำพูดที่ทำให้เด็กๆ รู้ว่าไม่ใช่แค่ฉันนะ ที่ทำไม่ได้อยู่คนเดียว แล้วเขาก็จะกล้าลงมือทำมากขึ้น หรือก้าวผ่านอะไรสักอย่างหนึ่งได้
Q : การที่เด็กๆ รู้สึกว่า ฉันไม่ได้ล้มเหลวแค่คนเดียว แต่ยังมีเพื่อนอีกมากมาย ที่ทำไม่ได้เหมือนกัน สิ่งนี้จะทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมาได้หรือเปล่า
“ที่จริงแล้ว เรามักจะบอกเด็กๆ ว่า คนเราไม่สามารถทำอะไรเหมือนกันได้ทุกอย่าง เรามีเรื่องที่ถนัดต่างกัน ฉันถนัดเรื่องนี้ ฉันทำเรื่องนี้ได้ดีนะ เพื่อนถนัดเรื่องนั้น เราสามารถเอาความถนัด หรือความไม่ถนัดเหล่านั้นมารวมกันได้ นี่คือ การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากจะชี้ให้เด็กๆ เห็นมากกว่า
“ที่สำคัญ เด็กๆ จะไม่ได้รู้สึกว่า เรื่องที่ทำไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวล มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เด็กๆ อาจจะทำตรงนี้ไม่ได้ และเขาไม่ได้ก้าวข้ามปัญหานี้ไปโดยลำพัง หากมองให้ดี เขายังมีทีมซัพพอร์ตอยู่เสมอ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ และเพื่อน ซึ่งเขาสามารถขอความช่วยเหลือได้นะ
“ยกตัวอย่าง แม้ฉันจะทำอันนี้ไม่ได้ แต่ฉันก็มีเรื่องดีๆ ที่ฉันทำได้นะ และฉันจะทำอันนี้ก่อน เธอทำอันนี้ได้หรอ ไว้สอนฉันบ้างสิ อ่ะ! จุดนี้ได้เรื่อง Collaboration อีกหนึ่งทักษะ และเกิดสังคมไซส์จิ๋วในหมู่เด็กๆ ขึ้นมาได้ด้วย”
Q : มีประโยคที่น่าสนใจ เรื่อง คำพูดของพ่อแม่ มีผลต่อความคิด จิตใจ และการกระทำของลูกเสมอ เด็กคนหนึ่งจะล้มแล้วลุกไม่ได้ หรือ จะปาดน้ำตาแล้วเดินต่อได้มั้ย ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของพ่อแม่ ที่ลูกได้ยิน ได้ฟัง มาตั้งแต่ยังเล็ก
“ถูกต้องค่ะ คำพูดและการแสดงออกของเราที่เป็นพ่อแม่ อาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่บางครั้งบางคำพูดก็เหมือนภูเขาหนักๆ กดทับอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้
“การพูดออกไปในทุกๆ ครั้ง มีความหมายต่อลูกมาก อาจทำให้เขามั่นใจ หรือทำให้เขารู้สึกแย่ไปเลยก็ได้
“ยกตัวอย่าง วันนี้ลูกตั้งใจได้ดีมาก แล้วเราตบไหล่เบาๆ กอดเขา หรือจับมือ แล้วความรู้สึกนี้จะพุ่งไปที่ไหน มันก็จะพุ่งไปในใจของเขา ทำให้เขารู้สึกว่า อย่างน้อย คุณพ่อคุณแม่อยู่เคียงข้างและอยู่ด้วยกันตรงนี้ ก็จะยิ่งทำให้อารมณ์หรือความรู้สึกของอารมณ์หรือความรู้สึกของเด็กตัวจิ๋วคนหนึ่งเพิ่มขึ้น เหมือนได้กำลังใจมากขึ้น และลูกจะแสดงออกมาให้พ่อแม่เห็น ด้วยการปาดน้ำตา ยิ้มออก แล้วไปต่อได้
“เรามองว่า คำพูดของพ่อแม่เป็นเสมือนพลัง ที่จะไปจุดให้ใจของลูกอบอุ่น ทำให้เขามีแรงเคลื่อนไปข้างหน้า ทำให้รู้สึกปลอดภัย รู้สึกได้รับความรัก รับรู้ได้ถึงกำลังใจ แล้วมันจะไม่มีคนที่หันไปทำเรื่องแย่ๆ”
Q : นอกจากคำพูดเชิงบวกแล้ว ครูเก๋เคยบอกว่า มีอีกหนึ่งวิธีดีๆ ที่นำมาใช้ได้ นั้นก็คือ คำชมเชย ที่มีพลังต่อใจลูกเช่นกัน
“ใช่แล้วค่ะ สำหรับเราแล้ว เรามีแนวคิดเรื่อง Positive Mindset และเราเป็นทีมเดียวกัน เราจะคอยบอกตลอดว่า ต้องชมเชย ยอดเยี่ยม ทำได้ ลูกทำได้ดีแล้ว เราชมไปที่มุมมอง พฤติกรรม กระบวนการบางอย่างที่เขาทำ
“ยกตัวอย่างตอนที่เด็กๆ ทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้เด็กเข้าแถว เราก็ชมเด็กๆ ว่า เด็กๆ มีความพยายามมากๆ เลย วันนี้โอเคมากเลย ขอบคุณเด็กๆ นะคะ แค่เขาเข้าแถว เราก็ปรบมือให้เด็กๆ ไม่หยุดเลย”
Q : แล้วจะไม่เป็นการทำให้ลูกรู้สึกว่า ฉันเก่งสุดๆ เก่งมากกว่าคนอื่น ทำนองนี้หรือเปล่า
“ในมุมมองของเรา เราอยากให้เขารู้สึกว่า คนดีต้องได้รับชม เขาตั้งใจ เขาพยายามแล้วจริงๆ ยกตัวอย่าง วันนี้เด็กเก็บไข่ออกมาแบบไม่แตกเลย โอ้โห! อุ้มแม่ไก่ได้ด้วย แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ความจริงแล้ว มันทำให้หัวใจของเด็กๆ รู้สึกชุ่มชื่นมากๆ รู้สึกดีใจ และภาคภูมิใจได้มากขึ้น
“การให้คำชม และการขอบคุณเด็กๆ เป็นการบอกให้เขารู้ว่า เขาทำสิ่งนั้นได้ และเขารู้สึกดี เขาก็จะจดจำพฤติกรรมเหล่านั้น และทำซ้ำได้อีกหลายๆ ครั้ง”
Q : เหมือนคำโบราณที่บอกว่า คำพูดของพ่อแม่คือ วาจาสิทธิ์ สร้างลูกได้และก็ทำลายลูกได้
“ใช่ค่ะ ถ้าเราพูดกับลูกอย่างสร้างสรรค์ พลังสร้างสรรค์นี้ก็จะเข้าไปอยู่ในใจลูก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพูดแล้วกลายเป็นภาษาเชิงลบ มันก็จะเหมือนเข้าไปกดทับและสะสมอยู่ในใจ กลายเป็นแผลเล็กๆ ของเขาไปเรื่อยๆ
“ดังนั้นคนที่มี Resilience ล้มแล้วลุกได้ คนที่มี Growth Mindset แสดงว่า เขาต้องมีทัศนคติเชิงบวกหนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วถามว่า ทัศนคติเชิงบวกได้จากอะไร ก็ต้องได้จาก ‘พลังบวก’ และคำพูดอย่างสร้างสรรค์จากคุณพ่อคุณแม่
“ ส่งเสริมให้ลูกรู้คุณค่าของตัวเอง ให้โอกาสลูกเพื่อการเรียนรู้ใหม่ แล้วไม่ต้องกลัวเลยว่า ถ้าเขาล้มลงไป เขาจะไม่ลุกขึ้นมาปาดน้ำตาแล้วเดินต่อ - ไม่มี!
“ดังนั้น ในวันนี้เราต้องไม่ทำให้แก้วแตก เมื่อไหร่ที่แก้วแตกแล้ว เมื่อนั้น หมายถึง หัวใจของลูกสลายไปกับบางคำพูดหรือการกระทำบางอย่างของเรา แล้วมันจะเชื่อมกลับมายากมาก และก็เปราะบางมากจริงๆ”
Q : สุดท้ายในฐานะคุณแม่ที่มีลูกวัยรุ่น เป็นคุณแม่รุ่นพี่ มีสิ่งสำคัญที่อยากแชร์ให้กับคุณแม่รุ่นน้องบ้างมั้ยคะ
“คนเป็นพ่อแม่ลูกกัน จะต้องให้อภัยกันอยู่เสมอ หมายความว่า พ่อแม่ก็มีโอกาสผิดพลาดกันได้ แต่เราจะจับมือกัน แล้วพากันลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ
“ลูกเองก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา แต่คำพูดที่จริงใจ และการแสดงออกด้วยความรักความห่วงใยอย่างแท้จริง จะเป็นเสมือนไม้ค้ำให้ลูกกล้าเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในวันที่ลูกต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ด้วยตัวเอง
“เขาจะรู้ว่า ตรงนี้คือพื้นที่ปลอดภัย เมื่อหันกลับพ่อแม่จะไม่ซ้ำเติม แต่เป็นที่พึ่งพิง คอยให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ พ่อแม่จะยืนอยู่ตรงนั้นกับเขา เขาจะล้มเหลว หรือมีเรื่องที่ต้องแก้ไข พ่อแม่ก็พร้อมที่จะอยู่ตรงนี้ ยังคงรอคอยด้วยความรัก เต็มไปด้วยความห่วงใย และจะเป็นทีมซัพพอร์ตตลอดไป”