“ตอนเด็กๆ ครูน้ำกลัวอะไรมากที่สุด” เราถาม ‘ครูน้ำ’ - รัสนากร อมรพงศ์ ครูสอนศิลปะบำบัด ด้วยความเชื่อที่ว่า ตอนเด็กๆ คนส่วนใหญ่ มักเคยกลัวอะไรบางอย่าง ความกลัวนั้นยังคงฝังใจ และจดจำมันได้ดี
“เราจำไม่ได้ว่าเคยกลัวอะไร (หัวเราะ) เพราะเท่าที่จำได้ เราไม่มีประสบการณ์แย่ๆ ให้กับเรื่องใดๆ กลัวหมาก็ไม่นะ กลัวคนแปลกหน้า ก็คงเป็นไปตามวัยมากกว่า”
แต่หากจะให้คุยเรื่องความกลัวกับเด็กๆ นั้น ครูน้ำจึงเล่าย้อนถึงเรื่องราวสมัยที่ครูน้ำ เคยดำรงตำแหน่งเป็นครูใหญ่ มูลนิธิบ้านเด็กป่า สถานที่ที่ดูแลเด็กไร้สัญชาติ และชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ชายแดนของอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และได้เป็นผู้รับเลี้ยงเด็กๆ เหล่านั้น ให้ก้าวพ้นความกลัวที่ติดตัวมา สู่หนุ่มสาวที่มีความกล้าหาญเบ่งบานในหัวใจได้ในทุกวันนี้
“เราแก้ความกลัว ด้วยการฝึกให้สังเกตตามความเป็นจริง เมื่อเด็กๆ กลัว เราก็อยู่ด้วยแล้วค่อยๆ เข้าไปอยู่กับความกลัวนั้นกับเขา โดยที่เขาจะรู้ว่า ถ้าน่ากลัวมากๆ ก็มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย” นี่คือวิธีแรก และเป็นวิธีที่ดีต่อใจเด็กมากที่สุด
“จากนั้นก็เพิ่มประสบการณ์ใหม่ แทนที่ประสบการณ์เดิมที่ไม่ดี ด้วยการปรับสภาพแวดล้อมรอบตัว และใช้การเล่านิทานโบราณ อย่าง นิทานกริมม์ ให้เด็กๆ ฟัง” ครูน้ำอธิบายวิธีแก้กลัวของเด็กได้อย่างน่าสนใจ
Beside you ฉันจะอยู่เคียงข้างในวันที่เธอกลัว
“ตอนที่พวกเด็กๆ ยังเล็ก เขาก็กลัวไปหมดเลยนะ” ครูน้ำเริ่มเล่าเรื่องความกลัวของเด็กๆ กลุ่มนี้ให้ฟัง
“เพราะเขาเคยได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีมา ตอนที่ยังเล็กก็ไม่มีใครคอยดูแล ทำให้ส่วนใหญ่ก็จะกลัวเรื่องผี ตามความเชื่อและเคยถูกผู้ใหญ่หลอกไว้ บางคนกลัวหมา เพราะพื้นที่บริเวณชายแดนจะเลี้ยงหมาดุไว้เฝ้าสวน เด็กๆ เองก็เคยถูกหมากัด ก็จะกลัวมาก แต่สุดท้ายเด็กๆ ก็ไม่กลัว พวกเขาค่อยๆ เรียนรู้ว่า หมาไม่ได้น่ากลัวทุกตัวเสมอไป
“เด็กบางคนกลัวคน เพราะเคยถูกผู้ใหญ่ขู่จะให้คนอื่นมาจับตัวไป หรือให้ตำรวจมาจับ ความกลัวของเด็กที่นี่จะไม่ได้ซับซ้อน พอได้รับประสบการณ์ใหม่เข้ามา เขาก็จะเริ่มคิดได้ว่า ความกลัวนั้น ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วความกลัวเหล่านั้น ก็จะหายไปตามธรรมชาติ”
ครูน้ำบอกว่า การให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์ใหม่เข้ามาแทนที่ประสบการณ์ไม่ดีที่ผ่านมา ทำได้โดยอยู่กับเด็กๆ ในทุกความกลัว อธิบายข้อเท็จจริง เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง แล้วให้เวลากับความกลัวของเขา
“อย่างเรื่องกลัวผี เวลาผ่านไปเขาก็เริ่มไม่กลัวแล้วนะ ส่วนหนึ่งเพราะเราเองก็ไม่กลัวผี เด็กๆ เคยถามเราเหมือนกันว่า เวลาไปต่างจังหวัดแล้วต้องนอนโรงแรมคนเดียว ไม่กลัวผีหรอ หากเป็นเขา คงไม่ไป เพราะกลัวผี เราเลยบอกว่า ตามใจเธอ เธอก็จะไม่สนุกนะ (หัวเราะ) คือ ค่อยๆ พูดๆ ค่อยๆ อธิบาย
“ตอนที่เขายังเล็ก พอกลัวผีก็จะไม่กล้าขึ้นชั้นสอง พอคนแรกไม่ยอมขึ้น คนต่อๆ มาก็ไม่ขึ้น เราก็เลยขึ้นชั้นสองไปกับเขา พอทำบ่อยๆ เขาก็ไม่กลัว เรามองว่า เมื่อเขากลัวอะไร เราก็อยู่ข้างๆ เขา อยู่ในความกลัวของเขาเสมอ ให้รู้ว่ามีผู้ใหญ่อยู่ตรงนี้ พอโตขึ้นหน่อย เมื่อยังกลัวอยู่ ก็ใช้วิธีค่อยๆ อธิบายให้ฟัง
“แต่เราจะไม่พูดว่า ผีไม่มีจริง เพราะจะไปค้านในเรื่องวัฒนธรรมและความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขา เราจะไปหักล้างแบบนั้นก็ดูไม่ดีสักเท่าไหร่ เราเลยยกตัวอย่างให้ฟังว่า แม่น้ำ (เรียกแทนตัวเอง) เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และเรียนร่วมกับคณะโบราณดคี เวลาที่เขาไปขุดค้นต่างๆ บริเวณพื้นที่กว้างๆ แถวริมน้ำ มองแล้วก็ไม่รู้จะขุดตรงไหน ทีนี้ก็จะมีอาจารย์ที่เกษียณแล้ว เขาจะมีสัมผัสพิเศษบางอย่าง ชี้ว่าต้องขุดตรงไหน แล้วก็เจอโครงกระดูก เจอสิ่งต่างๆ ทุกครั้ง
“เราเลยเล่าให้เด็กฟังว่า ผีมีอยู่แล้วล่ะ ดูซิว่า เราเกิดกันมาตั้งกี่รุ่นต่อกี่รุ่น แต่เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างอยู่ วันหนึ่งเราก็ต้องไปเป็นผี ไปอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องกลัว เหมือนมีกลางวัน กลางคืน”
“อย่างเด็กบางคนกลัวน้ำ น้ำแค่เข่ายังไม่ลงเลย คงมีประสบการณ์เลวร้ายกับน้ำมาก่อน เลยให้นั่งดูพี่ๆ เล่นน้ำไป เด็กๆ ก็จะชวนกันเอง แล้วก็จะค่อยๆ ลง ทีละนิดด้วยตัวเอง แต่ก่อนหน้านี้ เราเคยลากเขาเพื่อให้ไปลงน้ำ โอ้โห! ร้องแบบโลกจะแตก เราเลยเข้าใจ และไม่ใช้วิธีนี้ เลยคิดว่า น่าจะไม่ได้กลัวน้ำ แต่กลัวเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมากกว่า”
ความกลัวก็น่ากลัว แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
“แต่เราก็ไม่บังคับให้เลิกกลัวนะ” ครูน้ำย้ำ
นั่นหมายความว่า เปิดโอกาสให้กลัว ให้เวลาเด็กๆ ได้กลัว และรอเวลาให้หายกลัว ด้วยการเติมประสบการณ์ใหม่ ให้รู้ว่า ถ้ากลัวก็กลัวได้ แต่ความกลัวบางทีก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เมื่อเด็กๆ ค่อยๆ เติบโต ระบบความคิดก็จะชัดเจนขึ้น ความกลัวต่างๆ ก็จะค่อยๆ หายไปเอง
“ความกลัวของเด็กๆ เหล่านี้ ไม่ได้เป็นความกลัวที่ต้องพบกับจิตแพทย์” ครูน้ำเสริม
“เด็กเล็กๆ ที่เกิดความความกลัวบางอย่าง อาจเกิดจากที่พ่อแม่ของเด็ก เขากลัว หรือ พ่อแม่เป็นคนขี้กังวล ลูกก็จะกังวลเกินพ่อแม่ไปอีก ความกลัวบางอย่าง ก็เป็นสิ่งที่ดี เด็กเล็กๆ กลัวคนแปลกหน้า เริ่มตั้งตัวได้แล้วเริ่มรู้แล้วว่า นี่คือคนในครอบครัว แล้วคนอื่นก็น่ากลัว รวมทั้งเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือต้องทำอะไรใหม่ๆ ก็จะเกิดความกลัว หากกล้าหาญมากเกินไป ก็อาจจะไม่ดีต่อตัวเขา หรือความกลัวบางอย่าง ถ้าไม่ได้เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบหนัก ก็ไม่ต้องไปแก้หรอก
“บางอย่างที่เขากลัว ก็ให้เขากลัวไป แล้วค่อยๆ ให้เวลากับความกลัวเหล่านั้น แล้วมันจะหายไป อย่าไปมองว่า ความกลัว เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดออกไป ดูว่าความกลัวนั้น สมเหตุสมผลมั้ย อยู่ดูไปก่อน ถ้าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามาก เดี๋ยวก็ดีขึ้นได้เองตามวัย ตามประสบการณ์ใหม่ที่ดี และผู้ใหญ่เองเวลาเด็กจะทำอะไรก็อย่าไปห้ามมาก เด็กก็จะขี้กลัว”
ละลายความกลัวด้วยนิทาน
วิธีต่อมาที่ครูน้ำใช้เพื่อช่วยละลายความกลัวให้เด็กๆ ก็คือ การเล่านิทาน
“เวลาเราใช้นิทานกับเด็ก เราเลือกแนว fairy tale อย่าง นิทานกริมม์ที่มีมากว่าพันปี เป็นนิทานแนวภูมิปัญญาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ (Spirit) และสอดคล้องไปกับจิตสำนึก (consciousness) ที่เหมาะสมกับเด็ก จะมีเรื่องของความดี ความชั่วอยู่เต็มไปหมด และสุดท้ายความดี ก็จะเอาชนะความชั่วได้ แล้วเราจะเล่าให้เด็กๆ ฟังตั้งแต่ยังเล็ก
“เรามองว่า นิทานสมัยก่อนจะให้ความเข้มแข็ง กล้าหาญ เด็กๆ จะรู้สึกกลมกลืนไปกับตัวเอกของเรื่อง เชื่อมโยงไปกับตัวละครในเรื่อง มองว่าตัวเขาคือตัวละครในนิทาน เขาก็จะได้รับความกล้าหาญจากตัวละครในนิทานตามไปด้วย
“นิทานพวกนี้ ส่วนใหญ่จะให้น้องคนสุดท้อง เจ้าชายองค์เล็ก หรือคนที่ใจดี ซื่อๆ เป็นตัวเอกของเรื่อง เพราะเป็นตัวแทนของคนที่ตัวเล็ก ไม่มีอำนาจ เหมือนกับเด็กๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็ขี้โกงบ้าง นิสัยไม่ดีบ้าง แล้วก็มักจะเป็นฝ่ายที่เอาเปรียบตัวเอก แต่สุดท้ายตัวเอกก็ทำมิชชั่นต่างๆ สำเร็จ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ครูน้ำยกตัวอย่าง เรื่อง หม้อหุงข้าว ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ครูน้ำเล่าให้เด็กๆ ฟัง ตอนที่ยังเล็ก
“เรื่องเล่านี้จะเหมือนร่ายมนต์คาถา หม้อจ๋า จงหุงข้าวเถิด มันก็จะหุง หุง หุง พอหุงเสร็จก็พูดว่า หม้อจ๋า ขอบคุณนะจ๊ะ หยุดหุงข้าวเถิด แล้ววันหนึ่ง แม่ร่ายมนต์ไว้ หม้อจ๋า จงหุงข้าวเถิด แล้วแม่ไปไหนไม่รู้ ก็เลยหุงใหญ่เลย ทีนี้ก็ท่วมไปทั้งห้อง ท่วมไปทั้งบ้าน ท่วมไปถนน ตลาด ทั่วไปทั้งเมือง ท่วมไปที่แม่น้ำ ขึ้นไปบนภูเขา นี่แหละ ที่ทำให้เด็กเห็นว่า โลกนี้มันมีเพียงพอสำหรับทุกคน แล้วสิ่งเหล่านี้ มันจะเข้าไปอยู่ในใจของเด็กๆ ความสมบูรณ์ พูนสุขเหล่านั้นมันได้เกิดขึ้นแล้วในใจ เพราะประสบการณ์เดิมของเขาคือ ขาดแคลนอาหาร
“เรามองว่า นิทานแบบนี้ช่วยสร้างจินตนาการให้กับเด็ก และยังไปสัมพันธ์กับความรู้สึกลึกๆ ข้างในของเด็กๆ ได้ โดยไม่ใช่การจินตนาการที่เกิดจากการคิด แต่เป็นจินตนาการที่เกิดขึ้นมาเติมเต็มหัวใจ”
ยกตัวอย่างอีกเรื่อง หัวผักกาดยักษ์ นิทานเก่าแก่ของรัสเซีย เนื้อเรื่องประมาณว่า ตา ยาย พยายามดึงหัวผักกาดยักษ์ แต่ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก หลานมาช่วย หมามาช่วย แมวมาช่วย และสุดท้ายเจ้าหนูตัวจิ๋วก็มาช่วย
“แล้วตัวที่ดึงออกคือ เจ้าหนู เด็กๆ ลุกขึ้นมาปรบมือ กระโดดโลดเต้น เด้งไปเด้งมา (หัวเราะ) แบบว่า หนูตัวเล็ก สุดท้ายดึงออก มัน empower เด็กสุดๆ เลยนะ แล้วความเชื่อว่า เราทำได้ มันไปโผล่ตอนโต
“แต่คนที่มีปัญหาในชีวิต แล้วผ่านได้ยาก ตอนเด็กๆ อาจไม่ได้เติมตรงนี้เลย มันแห้งแล้งไปหมด คงเรียกได้ว่า เขาไม่อาจจินตนาการถึงพลังที่มีของตัวเองได้เลย” ครูน้ำกล่าวทิ้งท้าย