คุยกับคุณแม่มือใหม่ สายธรรมชาติ กับแนวทางเลี้ยงลูกแบบ ‘พอดี’
เพื่อให้หัวใจของลูกแข็งแรงและอบอุ่น
แม่ผึ้ง – ภมรรัตน์ พรรณรัตนพงศ์
เจ้าของแบรนด์ Hug Organic
เชื่อว่าหลังจากผ่านช่วงเวลาต้อนรับคุณแม่มือใหม่ป้ายแดงกันไปแล้ว ต่อจากนั้นน่าจะมีเรื่องราวมากมายให้คุณแม่ได้เรียนรู้ รับมือ และ น่าจะเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับลูกอยู่อีกมากมาย
ไหนจะความคาดหวังในตัวเองที่ต้องเป็นคุณแม่ที่ดีที่สุดของลูกในแทบทุกเรื่อง เช่น ดูแลลูกให้ดีที่สุด เลือกสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุด มอบสิ่งละอันพันละน้อยให้กับลูกอย่างดีที่สุด เลี้ยงลูกตามตำราผสานกับความรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมาเป็นเป็นประชากรที่มีคุณภาพกับสังคมต่อไป
แต่บางครั้งคำว่า ‘ดีที่สุด’ ก็อาจเป็นเหมือนก้อนหินหนักๆ ที่คอยกดทับหัวใจ และบ่าไหล่ของคุณแม่มือใหม่จนเริ่มสั่นเทา ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกตรงกันข้าม จนทำให้คุณแม่บางคนรู้สึกกดดันตัวเองจนจิตใจไม่ค่อยจะเป็นสุข แล้วแบบนี้ลูกจะใจอุ่น และเป็นสุขได้อย่างไร
ดังนั้น หากดูแลลูกแบบตึงเกินไป ก็หย่อนลงมาสักนิด มองข้ามไปสักหน่อย แต่เปิดใจมองลูกตัวน้อยในฐานะมนุษย์ตัวจิ๋วคนหนึ่ง ให้โอกาสลูกได้เติบโตสมวัย และเป็นไปตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคนที่พึงมี รวมทั้งพอดิบพอดีกับบริบทของครอบครัว
นี่คือหนึ่งในเรื่องเล่า และความคิดเห็นของคุณแม่มือใหม่ อย่าง แม่ผึ้ง – ภมรรัตน์ พรรณรัตนพงศ์ คุณแม่ของน้องใจอุ่น วัยใกล้สองขวบ และเป็นเจ้าของแบรนด์ Hug Organic คุณแม่ที่ชื่นชอบ ‘ความเป็นธรรมชาติ’ และเชื่อว่า สิ่งใดก็ตามที่เป็นไปตามธรรมชาติ คือ สิ่งที่ ‘พอดี’ ต่อโลก ลูก และเราทุกคน
‘ดีที่สุด’ ของความเป็นแม่
คือ แม่ที่มีความสุข และบาลานซ์ชีวิตของตัวเองได้แบบกำลังพอดี
แม่ผึ้งเล่าว่า ตัวเองก็เคยรู้สึกว่าต้อง ‘ดีที่สุด’ เคยพยายามมองหาสิ่งที่ดีที่สุด ข้าวของต่างๆ ที่ลูกต้องใช้ ต้องดีที่สุด หาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อ ดูรีวิวจากหลากหลายช่องทาง แต่ท้ายสุด ก็ไม่เหมาะกับลูกสาวตัวน้อย บวกกับคุณพ่อของลูกที่มีแนวทางเลี้ยงลูกแบบสายกลาง คอยแตะเบรคและอยู่เคียงข้างเสมอ
“อย่างเรื่องแรกๆ เลยก็คือ เราตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่แรกเกิด” แม่ผึ้งเล่าต่อว่า “แม่หลังคลอดส่วนใหญ่ น้ำนมจะมาน้อย เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยความที่น้ำนมยังมาน้อย เราก็กังวลว่า ลูกจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะซีดหรือตัวเหลือง จนต้องไปเข้าตู้อบหรือเปล่า ไหนจะกดดันตัวเองเรื่อง ปริมาณน้ำนมอีก
“เราเลยตัดสินใจผ่อนความตั้งใจลง แล้วเสริมนมผงให้ลูกในบางมื้อประมาณหนึ่งสัปดาห์ รู้สึกเบาสบาย ไม่กดดันตัวเอง หลังจากนั้นน้ำนมก็เริ่มมาและเพียงพอต่อกระเพาะน้อยๆ ของลูกแล้ว หลังจากนั้นก็นมแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์จนถึงทุกวันนี้”
เรื่องนมแม่ เป็นจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงลูก ยังมีอีกหลายสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้าในแต่ละช่วงวัยของลูก แต่แม่ผึ้งบอกว่า เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว สุขภาพของแม่ต้องแข็งแรงไว้ก่อน และแม่ต้องมีอารมณ์ที่เบาสบาย ยืดหยุ่นง่าย จะได้มีความสุข
“มนุษย์แม่มีเวลาให้ตัวเองน้อยมาก เราใช้เวลาทั้งหมดที่มี ทุ่มไปกับการดูแลลูก แต่เราต้องกลับมาดูแลตัวเองด้วย เพื่อให้พร้อมกับการเลี้ยงลูกที่เติบโตขึ้นทุกวัน ต้องบาลานซ์ชีวิตของความเป็นมนุษย์แม่ให้ดี โดยที่ยังคงให้ลูกอยู่ในลำดับต้นๆ ของชีวิต”
แม่ผึ้งยังบอกอีกว่า ความสุขแบบกำลังดี สุขแบบพอดี จะต้องไม่ลืมที่จะสื่อสารระหว่างสามีและภรรรยา เพื่อให้มีทิศทางการเลี้ยงลูกตรงกัน ด้วยแนวทางให้ลูกสาวเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ และตามวัยของเขา โดยมีความรักของคุณพ่อคุณแม่นำทาง มีเวลา และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี เป็นพลังซัพพอร์ตตลอดการเติบโตของลูก
สิ่งสำคัญที่แม่ผึ้งไม่เคยละเลยคือ เวลา ให้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพให้ได้มากที่สุด โดยใส่ความพอดีให้กับชีวิตมนุษย์แม่ มอบความรักให้ลูกอย่างเต็มที่ อุ้ม กอด บอกรัก และยิ้มให้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลูกยังเล็ก เพราะนี่คือ ภูมิคุ้มกันชีวิตที่ดีที่สุด เมื่อลูกเติบโตขึ้นเวลาที่เขาเจอปัญหาหรือความทุกข์ยาก เขาจะผ่านพ้นไปด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งได้ด้วยตัวเขาเอง
‘เวลา’ และธรรมชาติตามวัยของลูก
ให้เวลาลูก เวลาเติบโตอย่างตั้งใจตามวัย แต่ไม่ตามใจและไม่ปล่อยปละละเลย
คำว่าตามธรรมชาติ แม่ผึ้งบอกว่า ไม่ได้หมายถึงการตามใจลูก หรือ การปล่อยปละละเลย แต่หมายถึง การให้เวลาลูก เพื่อพร้อมกับการก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเอง พร้อมจะเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่มีขอบเขต มีวินัย และมีคำชี้แนะตามวัยจากคุณพ่อคุณแม่
“เรามาสังเกตลูกจริงๆ ก็พบว่า บางอย่างก็ต้องปล่อยให้เขาได้เรียนรู้และเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าง เรื่องการกิน ช่วงหลังหนึ่งขวบ เรายังคงทำอาหารแบบออร์แกนิก แทบจะไม่ปรุงรส แต่ลูกก็กินยาก แถมดูเป็นเด็กช่างเลือกจังเลย (ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณแม่หลายท่านก็กำลังเผชิญกันอยู่)
“เราก็ลองปรับเมนูและวิธีการทำหลายอย่างมาก ลองนำเสนอไปเรื่อยๆ จนมาคุณพ่อของลูก ทอดไข่เจียวแบบกรอบให้ลองกิน ปรากฏว่า กินง่ายเลย แต่เริ่มกินตรงขอบกรอบๆ เราเลยมารู้ว่า ลูกไม่ชอบอาหารแบบนิ่มๆ มีวันหนึ่งลูกได้ลองกินเฟรนฟรายแบบไม่โรยเกลือ เป็นครั้งแรก กินสนุกเลยลูก อันนี้ก็ขัดใจแม่อยู่เหมือนกัน แต่เราก็ต้องยืดหยุ่นบ้าง แม้ว่าเราอยากจะให้ลูกกินง่าย อยู่ง่ายเหมือนเรา แต่ลูกไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็ทำใจ ส่วนเราทำได้คือ นำเสนอเมนูอาหารใหม่ๆ ให้ลูกได้ลองไปเรื่อยๆ ค่ะ”
เล่น : เล่นกับธรรมชาติ ด้วยของเล่นรอบตัว
ระหว่างที่ลูกสาวตัวน้อยเติบโต แม่ผึ้งยังคงให้ความสำคัญกับธรรมชาติ โดยใช้ธรรมชาติรอบตัวเป็นเพื่อนเล่น และคอบโอบอุ้มดูแลหัวใจน้อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ทุกเช้าจะลูกออกมาเดินเล่นรอบๆ บ้าน ชวนเด็ดดอกไม้ไปถวายพระ ชี้ชวนดูก้อนเมฆบนท้องฟ้า นั่งดูความแตกต่างของใบไม้แต่ละชนิด หยิบก้อนหินมากำเล่น ชี้ชวนดูสัตว์ตัวเล็กๆ บนต้นไม้ หรือตามพื้น พาไปดูคุณย่าทำกับข้าว ชวนเล่นเศษผักที่ไม่ได้ใช้แล้ว เล่นกล่องพัสดุ หาเมล็ดธัญพืชมาใส่ขวดให้เขย่า เล่นสติ๊กเกอร์ เล่นทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือและปลอดภัย โดยไม่เน้นซื้อของเล่น ไม่ต้องใช้เงินมาก แต่เน้นกระบวนการเล่นตามธรรมชาติมากกว่า และอาจช่วยให้ลูกเป็นคนช่างสังเกต เป็นคนอ่อนโยน และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้ง่าย
“อีกอย่าง เราเปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ อยากวิ่งก็วิ่งในพื้นที่ปลอดภัย ปีนป่ายได้แต่อยู่ในสายตา หากวิ่งแล้วหกล้มมา หนูต้องลุกเองและปล่อยให้เรียนรู้ความเจ็บปวด สนุกได้สุขได้ แต่ก็อยู่กับความเจ็บปวดและความทุกข์ได้เหมือนกัน เพราะพ่อแม่ไม่สามารถป้องกันให้ลูกร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดเวลาได้
“เราต้องปล่อยให้ลูกได้เติบโต เรียนรู้ กลายเป็นชุดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ลูกได้รับ และอาจนำไปใช้ในวันข้างหน้าที่ใกล้เข้ามา อย่าง การไปโรงเรียนอนุบาลในปีหน้า”
นอกจากนี้ แม่ผึ้งยังบอกข้อดีของการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอีกว่า
“ส่วนตอนเย็น คุณพ่อของลูกจะพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ได้อยู่ในที่ที่อากาศปลอดโปร่ง ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายตา ได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว ได้เจอสังคมใหม่ๆ เช่น ครอบครัวพ่อแม่ลูกบ้านอื่นๆ พ่อแม่เองก็ได้แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูก ลูกได้เจอกับเด็กวัยเดียวกัน ได้เล่นด้วยกัน เรียนรู้ทักษะการเข้าสังคม และการสื่อสารตั้งแต่ยังเล็ก”
รักลูก รักษ์โลก แล้วโลกจะรักลูกเช่นกัน
ด้วยความที่แม่ผึ้งทำแบรนด์สินค้าออร์แกนิกมากว่าสิบปี เห็นแง่งามของความเป็นธรรมชาติ แม่ผึ้งจึงปลูกฝังแนวคิดการรักษ์โลกให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก เช่น การคัดแยกขยะ ที่ทำเป็นประจำในบ้าน ลูกสาวก็จะซึมซับ และลงมือทำด้วยตัวเองได้ตอนโต
“ขอย้อนกลับไปเรื่องของเล่นและของใช้ ที่เราบอกว่า เคยจะเลือกซื้อของที่ดีที่สุด รุ่นใหม่ ใช้ดี แต่สามีเบรคไว้ว่า ลูกโตเร็วเปลี่ยนบ่อย ให้เลือกซื้อสิ่งที่จำเป็นและได้ใช้ในระยะยาว มีความคุ้มค่าและเหมาะสมกับวัยของลูก
“เรามานึกถึงคำว่า คุ้มค่า เราและสามีมีความเห็นตรงกันว่า ควรใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า เราจึงไม่ปฏิเสธของเล่นหรือข้าวของเครื่องใช้บางอย่าง จากแม่ๆ ที่เป็นเพื่อนของเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ได้ไม่นานและยังอยู่ในสภาพที่ดี และเมื่อถึงเวลาที่ลูกของเราโตเกินกว่าจะใช้แล้ว ก็ทำความสะอาดและส่งต่อไปให้แม่ๆ รุ่นต่อๆ ไป ได้อีกทาง”
อ่านนิทานให้ลูกฟัง คือพลังสร้างโลกของลูก
นอกจากของเล่นและของใช้แล้ว แม่ผึ้งยังบอกว่า หนังสือนิทานก็เป็นอีกอย่างที่ได้รับมา บางเล่มก็ซื้อเป็นมือสองต่อจากแม่ๆ มาอีกที ข้อดีคือ ลูกสาวจะได้เห็นหนังสือนิทานที่มีความหลากหลาย และได้เห็นว่า ลูกสนใจแบบไหน
“ตอนยังเล็กๆ ก็จะเป็นนิทานภาพ รูปชัดๆ ตัวใหญ่ๆ พอช่วงนี้ก็จะเป็นนิทานที่เสริมสร้างจินตนาการ แต่แอบสอดแทรกคำสอนหน่อยๆ เหมือนว่า เขาเริ่มรู้เรื่องมากขึ้น เรามีประสบการณ์ร่วม สามารถเชื่อมโยงเข้าชีวิตประจำวันได้และเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น
“เราเคยอ่านนิทานแบบสอนกินข้าว สอนแปรงฟันแบบจริงจัง ลูกคือฟังแล้วปิดหนังสือเลย (หัวเราะ) แต่พอเราเปลี่ยนเป็นนิทานที่เพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป อย่าง เรื่องแม่มดจิ๋วเท้าโต แล้วมีฉากที่แม่มดยิงฟันเห็นฟันสีเหลือง เนื้อเรื่องก็จะสนุกไม่ได้สอนให้แปรงฟันตรงๆ แต่ใช้วิธีสอดแทรกเข้าไปในเนื้อเรื่องมากกว่า บวกกับแปรงฟันไปด้วยกัน ลูกก็จะแปรงฟันอย่างสนุกสนานมากขึ้น
“หรืออย่างเวลาที่ลูกเริ่มโกรธ เราก็ดึงเอาตัวละครจากนิทานมาถามเขา อย่าง เรื่องห่านจอมยั้วะ อยู่ดีๆ ก็เดินไปตกหลุมเอง แต่กลับพาลโกรธ โทษคนอื่นไปทั่ว ทำให้ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ ทีนี้ เวลาที่ลูกโกรธ เราก็ถามลูกว่า นี่ใจอุ่น หรือห่านจอมยั้วะกันน้า เขาก็เริ่มนึกถึงนิทานเรื่องราว และค่อยๆ สงบๆ ลงได้”
แม่ผึ้งย้ำว่า หนังสือนิทานที่เด็กๆ ได้เห็นรูปวาดที่ชัดเจน บวกกับฟังเรื่องสั้นๆ ที่มีคำศัพท์ง่ายๆ ช่วยให้เขาทำความเข้าใจได้ไม่ยาก และอยากที่จะเข้าใจเรื่องราวตรงหน้า และในไม่ช้าก็จะพร้อมสำหรับการทำตามด้วยตัวของเขาเอง
เรื่อง ศรัญญา อ่าวสมบัติกุล